บทที่ 64 คืนวันเข้าหอ 4
เย่แจ๋หยิ่งได้รับผลกระทบจากระเบิดมือทำให้มึนงง แต่หลานเยาเยาสู้กับเขาก็ยังกินแรงมากอยู่ดี
ทั้งสองสู้กันอยู่ประมาณสิบรอบ แต่นางก็ยังเป็นรองอยู่ดี
ทันใดนั้นเอง
“แกรก ……”
ไม่รู้ว่าทำไมขาถึงได้พลิก ทำให้รู้สึกเจ็บปวด เดิมหลานเยาเยาที่คิดอยากจะจู่โจม แต่เผลอนิดเดียว เขาก็ลื่นล้มสไลด์ไปด้านข้าง เกือบจะล้มขึ้นมา
แต่ว่า ยังดีที่นางหลบการจู่โจมของเย่แจ๋หยิ่งได้ เย่แจ๋หยิ่งที่สูญเสียการมองเห็นไปจู่ ๆ ก็สะดุดล้ม
เมื่อเห็นดังนั้น
หลานเยาเยารู้สึกดีใจมาก
โอกาสที่ดี นางรีบหลบไปจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ตัวเขา ทั้งสองคนตีกันบนพื้นต่อ
ดวงตาของเย่แจ๋หยิ่งค่อย ๆ มองเห็นมากขึ้น ส่วนหูก็เริ่มได้ยินเสียงการต่อสู้ของพวกเขาแล้ว ……
ภายในห้อง บนกำแพง แสงเทียนสีแดงวิบวับไปมา ทำให้ตัวอักษรมงคลมันเห็นเด่นชัดมากขึ้น
ทันใดนั้นเอง
“ตุบตับ” เสียงดังขึ้น
ทำให้พวกเขาทั้งคู่ที่กำลังสู้กันอยู่นั้นหยุดลง แล้วหันมองไปที่ประตู
จื่อซียืนนิ่งราวกับก้อนหิน กระบี่ของเขาไม่รู้ว่ามันตกลงไปบนพื้นตั้งแต่ตอนไหน
พวกเขาได้ยินเสียงดัง เลยรีบมาที่ห้องหอ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้
เจ้านายของเขากำลังต่อสู้อยู่กับพระชายา อีกทั้งยังอยู่ในห้องหอด้วย?
ลมวูบหนึ่งพัดมายังทำให้ตกใจได้เลย
ตอนนี้เขาสับสนมาก ว่าเขาควรจะลงมือหรือเปล่า?
พระชายาคร่อมอยู่บนตัวเจ้านายของเขาแล้วก็ทุบตีอย่างหนัก แล้วทำไมเจ้านายของเขาถึงไม่ใช้กำลังภายในในการตอบโต้?
หรือว่าเจ้านายเขาจะถูกวางยา?
เพราะนึกถึงความเป็นไปได้แบบนี้ จื่อซีก็นิ่งไป จากนั้นก็ชักดาบออกมา แล้วเดินขึ้นหน้าไปอย่างรวดเร็ว
หลานเยาเยาเห็นดังนั้น ก็ไม่พอใจ
คิดในใจว่าคนมากรังแกคนน้อย แล้วก็จะมายึดเตียงนอนของนางไปใช่ไหม? ฝันไปเถอะ
ดังนั้น
หลานเยาเยาคร่อมอยู่บนตัวของเย่แจ๋หยิ่งเดิมเสื้อผ้าก็หลุดลุ่ยออกอยู่แล้ว นางก้มลงไปจูบที่หน้าอกของเขา ยังไม่ทันได้ชื่นชมแผ่นอกของเขาเลย ก็ใช้แรงดูดจนมันเป็นรอยแรงขึ้นมา
จากนั้นก็ฟุบลงอยู่ที่หน้าอกของเขาแล้วหันหน้ามา มือทั้งสองข้างของนางขึงมือของเขาเอาไว้ แล้วพูดกับจื่อซีว่า
“อะไรกัน? ข้ากับท่านอ๋องกำลังเข้าหอกันอยู่ เจ้าก็อยากจะมาร่วมวงด้วยเหรอ?”
พูดจบ นางก็เขียนอักษรใส่มือของเย่แจ๋หยิ่งว่า : ตัวต่อตัว
ตัวต่อตัวถือว่ายุติธรรมที่สุด
หลานเยาเยารู้สึกว่า จนถึงตอนนี้ การฟังกับการมองเห็นของเย่แจ๋หยิ่งน่าจะยังไม่กลับมาทั้งหมด ดังนั้นเลยใช้การเขียนใส่ฝ่ามือของเขา เขาถึงได้เข้าใจความหมายของนาง
จื่อซี “ …… ” นี่คือการเข้าหองั้นเหรอ?
ทำไมเขาถึงได้มองแล้วไม่เข้าใจเลย?
เขายืนอึ้งงง ๆ อยู่แบบนั้น
หลานเยาเยาลุกขึ้นมานั่ง แล้วเริ่มปลดเสื้อออก เสื้อสีสดด้านนอกถูกปลดออก จากนั้นก็โยนไปไม่มีที่ทาง อีกทั้งยังปลดเสื้อตัวใน จนเห็นไหล่ด้วย
ผิวที่หัวไหล่ของนางโผล่ออกมา จนเห็นชุดชั้นในสีแดงสด
ทำแบบนี้คงเชื่อได้แล้วสินะ?
นางไม่กล้าถอดไปมากกว่านี้แล้วนะ หากพวกเขายังไม่เชื่อ ก็คงต้องลงมือสู้กันต่อ
ใครจะคิด ……
สายตาของเย่แจ๋หยิ่งกลับจ้องไปที่ตัวของหลานเยาเยา เขากระพริบตา แล้วก็โบกมือ ลมวูบใหญ่พัดไปใส่จื่อซี จื่อซีราวกับใบไม้ ถูกซัดออกไปจนไปยืนอยู่ที่หน้าประตู ยังไม่ทันรู้ตัวเลยก็ถูกซัดออกไปแล้ว
หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียง “ปึ้ง” ประตูถูกปิด
“ถือว่าเจ้ายังรู้ว่าคนมากไม่ควรรังแกคนน้อย” นางมองไปที่เย่แจ๋หยิ่งที่แสดงอารมณ์โกรธผ่านทางสายตาออกมา หลานเยาเยาถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไม่ตีกับเจ้าแล้วก็ได้ หากเจ้าใช้กำลังภายใน คนที่แขนขาขาดไปคือข้า ไม่คุ้มเลย”
พูดจบ
นางก็นึกขึ้นมาได้ว่า เย่แจ๋หยิ่งสายตากับการได้ยินยังไม่กลับมานี่นา
นางเขียนกากบาทบนตัวของเย่แจ๋หยิ่ง แล้วพูดว่า “ใครตีใครก่อนเป็นลูกหมา”
“……”
เย่แจ๋หยิ่งกำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นขึ้น แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้
ในตอนนี้เอง หลานเยาเยากลับสบาย นางเดินไปที่ตู้ไม้แล้วเลือกเสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่ง ตอนที่นางหันกลับมา นางก็ถึงกับงง
คน คนล่ะ?
ภายในห้องไม่มีเสียงของเย่แจ๋หยิ่งแล้ว
นางอดยักไหล่ไม่ได้ เลยเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หลังฉากบังลม แล้วไปนอนที่เตียง
หลังจากสงบใจแล้ว หลานเยาเยาก็เริ่มรู้สึกกังวล
แล้วนางควรจะอธิบายยังไงเรื่องระเบิดมือทำให้มึนงงกับเย่แจ๋หยิ่งดีล่ะ?
กังวลก็ส่วนกังวล แต่ว่านางไม่ได้เสียใจที่ทำลงไป
นางเริ่มค่อย ๆ เปิดเผยความสามารถของนางออกมา เย่แจ๋หยิ่งก็จะอยากรู้อยากเห็นและแปลกใจ ทำแบบนี้แล้ว นางก็จะไม่ตายง่าย ๆ
อีกทั้งยังไม่กลายเป็นคนที่ถูกทิ้งง่าย ๆ ด้วย
ดังนั้นเมื่อกี้นางถึงได้ไม่ลังเลใจเลยที่จะโยนระเบิดมือทำให้มึนงงออกไป อย่างแรกเพื่อลดความโอหังอวดดีของเย่แจ๋หยิ่ง ระบายอารมณ์และเพื่อความสะใจของตัวนางเอง อย่างที่สองก็เพราะเขาคือท่านอ๋องที่มีอำนาจล้นฟ้า
คนร้ายกาจแบบเขา หรือไม่คิดที่จะมีอาวุธที่ร้ายกาจไว้กับตัวเลย?
คนเรามีความทะเยอทะยานด้วยกันทั้งนั้น ……
พอคิดได้แบบนี้ หลานเยาเยาก็ยิ้ม
ในที่สุดก็ไม่มีใครมาแย่งที่นอนกับนางแล้ว
ในตำหนักบรรทม
เย่แจ๋หยิ่งที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในตำหนักบรรทม ก่อนหน้านี้เขาถูกหลานเยาเยาดึงเสื้อออก ตอนนี้เขาใช้สายรัดมันเอาไว้แล้ว แต่ยังคงมองเห็นแผ่นอกของเขาอยู่
อีกทั้งยังเห็นรอยดูดสีแดงชัดมากด้วย
เขามาถึงริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก แล้วมองไปที่ลานซวนซีที่ปิดไฟไปแล้ว สายตาของเขาก็แปลก ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน
“จื่อซี” เขาพูดขึ้นมาว่า
“บ่าวอยู่นี่ขอรับ”
จื่อซีโผล่มาที่หน้าต่าง แล้วคุกเข่าลง รอให้เจ้านายของเขาออกคำสั่ง
“ส่งคนไปที่ชนเผ่าริมชาฝั่งทางตะวันตก ไปสืบมาที หลายปีนี้มีชาวต่างแดนเข้ามาบ้างหรือเปล่า”
“ขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จื่อซีก็ตะลึงไป
ทางตะวันตกของดินแดนเป็นพื้นที่ทะเลขนาดใหญ่ อีกทั้งทะเลยังกว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วย
ตามตำนานกล่าวว่า ชาวต่างแดนมีอาวุธดุจดั่งเทพพระเจ้า หลายคนคิดอยากจะออกไปตามหาร่องรอยของคนกลุ่มนี้ แต่ไม่มีใครเคยทำสำเร็จ
ได้ยินมาว่าในรัชสมัยก่อนมีราชครูคนหนึ่งเป็นชาวต่างแดน
เขาไม่เพียงได้รับความเคารพจากฮ่องเต้ ยังได้รับความรักจากชาวบ้านด้วย ทุกคนเคารพยกย่องเขามาก ทุกปีลมฝนตกตามฤดูกาล ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ในรัชกาลก่อนถือได้เป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดก็ว่าได้
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร ท่านราชครูจู่ ๆ ก็หายตัวไป
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ก็เกิดภัยพิบัติรุนแรง จนทำให้ล่มสลายไปในที่สุด แล้วถึงได้มีประเทศก่วงส้าขึ้นมา
ในเมื่อเจ้านายสั่งให้เขาเป็นสืบเรื่องที่ชนเผ่าทางชายฝั่งตะวันตก แสดงว่าจะต้องมีเบาะแสอะไรแน่
หลังจากรับคำสั่งแล้ว จื่อซีก็ขี่ม้าไปทันที
—— ——
เช้าวันต่อมา
เมื่อแสงอาทิตย์แรกส่องเข้ามา หลานเยาเยาก็ตื่นแล้ว
นางนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงไม่ยอมลุก หลัก ๆ เป็นเพราะ หลังจากที่ข้ามเวลามาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้นอนหลับสบายแบบนี้ ไม่อยากขี้เกียจมันก็ไม่ได้
เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า สาวใช้ที่ติดตามนางมาก็ไม่ได้มาเคาะประตูปลุก
จนใกล้จะเลยเวลาอาหารเช้าแล้ว ถึงได้มีเสียงเคาะประตูอย่างรีบร้อน