โจ๋จุนชิงในใจตระหนกอย่างแรง รีบสาบาน ยืนยันความซื่อสัตย์ของตัวเอง
“เจ้าของเรือ ข้าน้อยไม่ได้เปลี่ยนไปขอรับ ซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้าของเรือมาตลอด ข้าน้อยยินยอมสาบานต่อสวรรค์ ชีวิตนี้ภักดีเพียงเจ้าของเรือผู้เดียว หากผิดคำสาบาน สวรรค์ลงโทษฟ้าผ่า ไม่ตายดีขอรีบ”
หานแสโบกมือ แสดงความหมายว่าช่างเหอะ
เพียงแค่สุนัขที่ซื่อสัตย์ตัวหนึ่งเท่านั้น ทำไมเขาต้องคิดเล็กคิดน้อยเหล่านี้?
ยิ่งกว่านั้นความเก่งกาจของอ๋องเย่คนกลุ่มหนึ่ง โจ๋จุนชิงผู้เดียวจะสามารถดูแลได้ที่ไหนกัน?
“พูดเถอะ!”
“ข้าน้อยไม่กล้า!”
หน้าผากของโจ๋จุนชิงเต็มไปด้วยเหงื่อเล็กละเอียด
จากสีหน้าเมื่อครู่ของเจ้าของเรือ โจ๋จุนชิงยังกล้าอีกที่ไหนล่ะ! ทีแรกคิดว่าเจ้าของเรือพูดง่ายแล้ว ใครจะรู้เจ้าของเรือยังเป็นเจ้าของเรือผู้นั้นที่จิตใจโหดเหี้ยม ไม่กล้าพูดคำพูดที่ไม่ควรพูดเหล่านั้นแล้วในพริบตา
“พูด!” หานแสสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง
ชายชาตรีผู้หนึ่งยังจะชักช้า?
หานแสไม่พอใจเป็นอย่างมาก!
“ขอรับ!”
โจ๋จุนชิงกลืนน้ำลายด้วยความกลัวเล็กน้อย:
“ขณะที่ตีเรือกลับมาไม่กี่วันนี้ ห้องครัวทำอาหารทะเลให้อ๋องเย่ทุกวัน คุณชายซ่างกวนก็อยู่กับอ๋องเย่ ฉะนั้นก็อาหารทะเลทุกมื้อ สำหรับองครักษ์ลับสองคนนั้น เห็นเจ้านายของตัวเองกินอะไร พวกเขาก็กินอย่างนั้นเป็นธรรมดา
ดังนั้น……”
ไม่ใช่ว่าคนอื่นต้องการจากไป
แต่เป็นเจ้าของเรือที่บีบไล่ให้คนจากไป
คาดว่าเวลานี้กลุ่มของคนอื่นเขากำลังกินเนื้อชิ้นใหญ่ปลาตัวโตอยู่ที่ร้านอาหารน่ะ!
คำพูดด้านหลัง โจ๋จุนชิงไม่กล้าพูด เกรงว่าจะไม่มีชีวิตออกไปจากประตูบานนี้
หานแส: “……”
หลานเยาเยาเป็นนักกินจุ เขาลืมสิ่งนี้ไปได้อย่างไร……
……
ชายแดนประเทศเชียนหลิง ร้านอาหารของตัวเมืองที่หนึ่ง
ด้านหน้าของหลานเยาเยาคือหมูตุ๋นน้ำแดงแสนอร่อย มองไปแวบหนึ่ง น้ำซุปรสชาติอร่อยจัดจ้าน คุณภาพเนื้อกรอบนอกนุ่มใน แม้ความหอมที่ออกมาก็ทำให้คนน้ำลายสอ
นี่ยังเป็นเพียงแค่หมูตุ๋นน้ำแดงที่หนึ่งเท่านั้น!
และไม่ใช่อาหารแนะนำของร้านอาหารร้านนี้
ดูสิ แม้แต่ผักแต่ละชนิดที่ไม่ได้พบเจอนาน ก็สามารถทำให้คนที่เห็นมีความสุข
หัวผักกาดขาวเขียวสดราวกับมีน้ำสีเขียวหยดออกมา มะเขือม่วงนึ่งเป็นสีม่วงจนเปล่งประกาย มะเขือเทศสีแดงเปรี้ยวหวานสดชื่น เจริญอาหารเป็นที่สุด
อดไม่ได้ที่จะทำให้นางทอดถอนใจ นางที่เป็นนักกินจุระดับสูงสุด นึกไม่ถึงว่าอยู่บนเรือแห่งความสิ้นหวัง จะกินอาหารทะเลมากมายหลายประเภทจนเลี่ยนแล้ว
ตอนนี้ได้เห็นแม้แต่ผักก็ล้วนรู้สึกว่าเป็นของแสนอร่อยของโลกมนุษย์……
เรือแห่งความสิ้นหวังสมกับเป็นเรือแห่งความสิ้นหวังจริงๆ มันสามารถทำให้เจ้าถึงขนาดกินอาหารทะเลก็สามารถกินจนสิ้นหวังได้
มองดูนางชำเลืองดูผักสดดวงตาทั้งสองข้างก็ล้วนเปล่งประกาย เย่แจ๋หยิ่งอดหัวเราะเบาๆออกมาไม่ได้
“ดูทำให้เจ้าน้ำลายไหลซะ เหอะเหอะเหอะ……”
เป็นดังคาด!
การตัดสินใจของเขาถูกต้อง
ในด้านการกินไม่ควรทำให้นางน้อยใจ
รอจนอาหารมาครบ หลานเยาเยาไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย กินไปกินไปนางยังไม่ลืมที่จะพูดว่า: “ให้จื่อซีจื่อเฟิงเปลี่ยนรสชาติบ้าง อาหารทะเลทุกมื้อบนเรือแห่งความสิ้นหวังคาดว่าคงทำให้พวกเขาจดจำไปตลอดชีวิต เกรงว่าชาติหน้าก็ไม่กล้ากินอาหารทะเลแล้ว”
เย่แจ๋หยิ่งยิ้มบางๆพร้อมส่ายหน้า
เอาหมูตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งที่เป็นเนื้อไม่ติดมันทั้งชิ้นคีบไปไว้ในถ้วยของนาง
“ดูแลตัวเจ้าเองให้ดีๆเถอะ! ไม่เพียงสอนให้จาวหยางเสียคน แม้กระทั่งพวกเขาสองคนก็พาให้เสียคนแล้วด้วย พวกเขาจะดูแลท้องของตัวเองให้เสียเปรียบที่ไหนกัน?”
“จริงหรือ?” หลานเยาเยาดวงตาเปล่งประกาย ถามไปประโยคหนึ่งอย่างไม่คิด “เช่นนั้นพาท่านเสียคนหรือไม่ล่ะ?”
ใครจะรู้……
เย่แจ๋หยิ่งตั้งใจแสร้งทำตัวลึกลับ
โน้มตัวเข้ามาทางนางเล็กน้อย ริมฝีปากอุ่นๆเย็นๆแทบจะติดกับใบหูของนางแล้ว เสียงอันไพเราะที่ดึงดูดเย้ายวนคนค่อยๆดังเขาในหู
“รสนิยมการเลือกกินมากของข้า กินเพียงเจ้าคนเดียว เจ้าพาให้เสียคนไม่ได้”
“…….” หลานเยาเยาหูแดงในพริบตา จากนั้นแดงมาถึงแก้มทันที
ไม่ใช่แค่กินข้าวหรือไง!
ทำไมถูกเย้าแหย่อย่างกะทันหันแล้ว?
เย่แจ๋หยิ่งยิ่งอยู่ยิ่งร้ายแล้วจริงๆ
“อา……อาส้งล่ะ? ทำไมไม่เห็นเขา?” เจ้าหมอนี่ทำไมจู่ๆก็หายตัวไปอีกแล้ว?
ส้งเย่นกุยก็ถูกหลานเยาเยานึกขึ้นได้ในที่สุด เวลานี้อยู่บนชายคา กัดซาลาเปาไส้หมูที่ยังอร่อยกว่าอาหารทะเลอยู่เงียบๆ
แม้ว่าเขาจะอยากอยู่ข้างกายเจ้านายของตัวเองมาก แต่ที่ที่มีอ๋องเย่อยู่ ลิขิตไว้ว่าไม่มีที่อยู่ของเขา
ยังไงเขาก็กัดซาลาเปาอยู่บนชายคาดีๆดีกว่า……..
หลังจากที่อิ่มท้องแล้ว ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
แสงสว่างแสบตาของพระอาทิตย์หายไป ค่อยๆลับลงภูเขา ในท้องฟ้าเหมือนกับย้อมด้วยเลือด สาดไปทั้งก้อนเมฆ ดวงตาสีดำของความมืดมิดก็ค่อยๆเปิดขึ้น จดจ้องสรรพสิ่งบนโลกอย่างเย็นชา
คืนนี้ไม่ต้องรีบเดินทาง พวกเขาก็อาศัยอยู่ในร้านอาหาร
ยามค่ำคืน
หลานเยาเยาที่อาบน้ำเรียบร้อย สวมชุดผ้าโปร่งบางสีอ่อน ยืนอยู่ข้างขอบหน้าต่าง รับลมเย็นสบาย ชื่นชมแสงสีในยามราตรีอันน่าหลงใหล ขับรูปร่างที่อ่อนช้อยงดงามด้านในให้เด่นขึ้นอย่างเลือนราง
เดิมทีด้านในควรจะสวมเสื้อเอี๊ยม แต่นางกลับเปลี่ยน กลายเป็นเสื้อผ้าที่เย่แจ๋หยิ่งมองว่าแปลกประหลาดชุดหนึ่ง
เหมือนว่าจะเล็กจนอะไรก็ปกปิดไม่ได้
แต่เมื่อดูอย่างละเอียด ไม่เพียงปกปิดที่ควรปกปิดได้แล้ว กระทั่งทำให้คนเกิดความคิดหลายๆอย่าง อยากดูว่าแท้จริงยังไงกันแน่ แต่กลับไม่มีปัญญาสืบไปลึกๆได้ ยังทำให้ไฟลุกลามขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไม่มีสาเหตุ
มุมปากของเย่แจ๋หยิ่งยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
เว้นระยะนานขนาดนั้น ในที่สุดเยาเยาก็นับว่าเริ่มคิดได้แล้ว
ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลัง
หลานเยาเยาก็ไม่ได้หันกลับ แต่ค่อนข้างตื่นเต้นแล้ว ทีแรกจัดวางท่าทางยั่วคนและไม่เสแสร้งอย่างดี นาทีนั้นที่รู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งเข้ามา ก็ไม่เป็นตัวเองในพริบตาแล้ว
เอาเถอะ ชาติก่อนชาตินี้ล้วนผ่านมาแล้ว
แต่ทุกครั้งที่คิดถึงว่าจะทำเรื่องน่าอายที่ทำกับเย่แจ๋หยิ่งเหล่านั้น มักจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะประหม่าเล็กน้อยเสมอ
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นนางที่เริ่มเอง ระดับความประหม่าก็ยิ่งเห็นได้ชัดแล้ว
ด้วยเหตุนี้!
ยื่นมือขาวละเอียดออกไป ชักจูงคนทางด้านหลัง เจตนาชัดเจนเป็นที่สุด
แต่ทว่า เย่แจ๋หยิ่งที่อยู่ด้านหลังนางก็อดกลั้นที่จะปกปิดรอยยิ้มตรงมุมปากไม่ได้ เดินเข้าไปไม่ช้าไม่เร็ว ยืนระนาบเดียวกับนาง สายตามองไปนอกหน้าต่าง ยังอดที่จะกระแอมเสียงหนึ่งไม่ได้ ไม่รู้ว่ากำลังปกปิดอะไร
“เยาเยา แสงสียามค่ำคืนนี้งดงามเพียงใด?”
เขาถามเบาๆ
“แสงดาวระยิบระยับ แสงจันทร์ดั่งน้ำ ราวกับว่าคลุมชุดบางๆชั้นหนึ่งให้กับโลก งดงามที่สุด!”
หลังจากอาบน้ำแต่งตัว นางก็ยืนข้างหน้าต่างมาตลอด ในใจกำลังคิดเรื่องอื่น ดูเหมือนกำลังชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน ความเป็นจริงทิวทัศน์ที่สวยงามกลับจางหายไปจากตรงหน้าตั้งนานแล้ว
แสงสียามค่ำคืนน่าดูกว่าเย่แจ๋หยิ่งตรงไหน?
ชื่นชมแสงสียามค่ำคืนไม่เท่าชื่นชมความสง่างามของเขา…….
“อ๋อ? ใช่หรือ?” มองดูแสงจันทร์แรมอันน้อยนิดจนน้อยอีกไม่ได้เกือบจะหายเกลี้ยงแล้ว ราวกับในไม่ช้าก็จะถูกเมฆดำปกคลุมโดยสมบูรณ์ เย่แจ๋หยิ่งกลั้นหัวเราะ พยักหน้าเล็กน้อย “งดงามมากจริง!”
สังเกตได้ถึงคำพูดของเย่แจ๋หยิ่งมีความนัย เหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ
รีบเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนทันที
อดเบิกตาโพลงไม่ได้ เวลานี้ลมยามค่ำคืนค่อนข้างแรง บวกกับความเร็วในการเคลื่อนที่ของเมฆดำ ได้บดบังจันทร์แรมดวงนั้นอย่างสมบูรณ์
เอ่อ…….
พระจันทร์ก็ไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงดาวแล้ว
หลานเยาเยาทำตัวไม่ถูกอย่างไร้ที่เปรียบในพริบตา และเสียงหัวเราะเบาๆที่มีแรงดึงดูดก็ดังมาข้างกายอย่างไม่รู้จักเวลาที่ควร
“เย่แจ๋หยิ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านกล้าหัวเราะเยาะข้า?”
จ้องมองคนด้านข้างอย่างรุนแรงแวบหนึ่ง รู้สึกว่าที่สวมอยู่ทั้งร่างนี้เปล่าประโยชน์แล้ว หมุนตัวแล้วต้องการจากไปทันที ฉับพลันนั้นแขนถูกเย่แจ๋หยิ่งคว้าไว้ ออกแรงนิดหน่อย ดึงนางกลับมา และกดไว้ในอ้อมกอด
เขายึดติดกับความรู้สึกชนิดนี้เป็นอย่างมาก
“ในตาของข้าแสงสียามค่ำคืนคือเจ้า ไม่มีผู้ใดเทียบได้”
“ตอนนี้เพิ่งจะพูดสิ่งเหล่านี้ สายไปแล้ว ข้าไม่ทำแล้ว”
หลานเยาเยาขัดขืนต้องการผละออกจากอ้อมกอดของเย่แจ๋หยิ่ง ร่างกายที่อ่อนนุ่มถูไถกับเย่แจ๋หยิ่งตลอด และเดิมทีความอดทนของเย่แจ๋หยิ่งก็ถึงขีดจำกัดแล้ว คราวนี้ดีแล้ว อดทนไม่ได้โดยตรงแล้ว
เขากุมแก้มของนาง ค่อยๆก้มลงไปจูบ
“อุบ…….”
เดิมทีคิดเพียงจุ๊บริมฝีปากที่สวยหวานยั่วเย้าคนไม่กี่ที ชิมบางๆแล้วหยุด ใครจะรู้ ริมฝีปากสัมผัสกันก็หยุดไม่ได้แล้ว อีกทั้งยิ่งถลำยิ่งลึก
จากข้างหน้าต่างถึงเตียง คล้ายอารมณ์ที่ไฟลุกโชน เมื่อติดขึ้นก็ไม่สามารถจัดการได้
จนกระทั่งเข้าใจกันอย่างล้ำลึก สองคนที่เหงื่อชุ่มจึงได้หยุดลง คลอเคลียกัน
เย่แจ๋หยิ่งหอบเบาๆหายใจแรง ร้องขอราวกับว่าความปรารถนายังไม่สิ้นสุด:
“แค่ให้อีกครั้ง เยาเยา เจ้าทารุณกับข้าเกินไปแล้ว”
“ไม่งั้นล่ะ! ปล่อยให้ท่านทำตามใจ?”
ก็ไม่ดูผิวพรรณที่มีน้ำมีนวลของนาง ถูกเขาทารุณจนเป็นอย่างไรแล้ว พรุ่งนี้นางยังจะพบเจอผู้คนได้อีกหรือ?
“ข้ารู้จักหนักเบา ให้รางวัลอีกครั้งได้หรือไม่?”
พูดพลาง เย่แจ๋หยิ่งยังอดไม่ได้ที่จะใช้ร่างกายตัวเองเป็นเหยื่อล่อ และใช้มือวางบนหลังของนางลูบคลำเบาๆ
มองดูเย่แจ๋หยิ่งที่สง่างามน่ากิน หลานเยาเยากลืนน้ำลายในพริบตา
เป็นดังคาด!
เผชิญหน้ากับความงดงามของเย่แจ๋หยิ่ง นางไม่มีปัญญาต้านทานได้
ด้วยเหตุนี้ เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้รุก พลิกตัวกดเขาไว้ทันที…….
หลังจากผ่านไปคืนหนึ่ง!
หลานเยาเยาเสียใจแล้ว
นางไม่ควรถูกความเป็นผู้ชายของเย่แจ๋หยิ่งหลอกล่อ มิฉะนั้นเมื่อคืนก็จะไม่เกิดเรื่องจนจัดการไม่ได้ ทำให้นางปวดเมื่อยไปทั้งร่าง ราวกับถูกซ้อมอย่างหนักรอบหนึ่ง
ครั้งหน้า นางจะต้องแน่วแน่กับหลักการที่ยึดถือ ครั้งเดียวก็ครั้งเดียว มากขึ้นไม่ได้อีกเด็ดขาด
หลานเยาเยาที่ลงจากเตียงไม่ได้ ในสมองวางแผนกฎเกณฑ์ข้อบังคับในการทำเรื่องที่ไม่เหมาะกับเด็กครั้งหน้าไว้แล้ว…….