ตอนที่ 801 ไม่เจอจุดอ่อน
ณ บริษัทตระกูลอวี๋ ที่ห้องทำงานผู้จัดการ
เหนียนเสี่ยวมู่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วจ้องไปที่รูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือของเธอ จากนั้นก็เปิดอีเมล เพื่อเปรียบเทียบกับรูปที่ฟ่านอวี่ส่งให้เธอ
ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะมัวแต่หาอัลบัมรูปที่ห้องหนังสือ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่พบอะไรเลย
ถานเปิงเปิงเป็นคนที่ไม่มีแม้แต่รูปเซลฟี่จริงๆ
เหนียนเสี่ยวมู่ไม่พบรูปถ่ายอื่น ๆ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่เปรียบเทียบรูปถ่ายสองสามรูปจากอัลบัม กับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ฟ่านอวี่ถ่ายได้ในตอนแรก หลังจากเปรียบเทียบเป็นเวลานาน นอกจากรูปร่างที่ดูคลับคล้ายคลับคลาแล้ว ก็ไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้อีก
เธอโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานด้วยความหงุดหงิด
ขณะที่เธอกำลังจะโทรไปที่สนามบินเพื่อถามข่าวคราวเกี่ยวกับถานเปิงเปิง เลขาก็ได้ผลักประตูจากด้านนอกแล้วเดินเข้ามา
“ผู้จัดการเหนียนคะ การเจรจาความร่วมมือกับวิสาหกิจเจิ้งซื่อที่จะจัดขึ้นเช้าวันนี้ ทางฝ่ายตัวแทนเพิ่งโทรมาบอกว่าเครื่องบินของพวกเขาเกิดความล่าช้า และผู้จัดการของพวกเขาที่รับผิดชอบการเจรจารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย จึงต้องการเลื่อนเวลาไปจนถึงบ่ายวันนี้ และถามเราว่าจะสามารถให้ความร่วมมือได้ไหมคะ”
“……”
เหนียนเสี่ยวมู่มึนงงไปชั่วครู่ หลังจากได้สติ ก็หันหัวกลับไปดูตารางงานบนโต๊ะของตัวเอง
ช่วงเช้ามีการจัดเจรจาจริง ๆ เธอจำได้แล้ว
และยังได้เตรียมการล่วงหน้าไว้แล้วเช่นกัน เมื่อทราบว่าตัวแทนการเจรจาวิสาหกิจเจิ้งซื่อในครั้งนี้ คือรองผู้จัดการทั่วไปของพวกเขา และยังได้ยินมาอีกว่ามีความสามารถมากในด้านการเจรจาศูนย์การค้าแต่เธอคนนั้นเป็นคนเก็บตัวมาก และจนถึงตอนนี้เธอเองก็ยังไม่พบข้อมูลใด ๆ
รู้แค่ว่าฝ่ายตรงข้ามชื่อเจิ้งเหยียน เป็นผู้หญิง
เป็นลูกสาวผู้จัดการใหญ่ของบริษัทตระกูลเจิ้ง ว่ากันว่าเธอเป็นที่รักของครอบครัวมาก เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นลูกสาวเศรษฐีที่คาบช้อนทองมาเกิด แถมยังดันมีความสามารถมากอีกด้วย
ในด้านศูนย์การค้าแล้วนั้น เธอก็ไม่แพ้ผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยเหตุนี้ แม้ภายใต้ตระกูลเจิ้งจะมีสถานการณ์เกี่ยวกับลูกชายอยู่ด้วย แต่เจิ้งเหยียนคนนี้ก็ยังคงเป็นลูกสาวที่รักและสำคัญมากของผู้จัดการใหญ่เจิ้งซื่อ ชนิดที่ว่าเชื่อฟังและปฏิบัติตามประมาณนั้น
“ตอนบ่ายฉันไม่มีอะไรต้องจัดการอยู่แล้ว งั้นทำตามที่พวกเขาบอกแล้วกัน ให้เปลี่ยนเวลาเป็นช่วงบ่าย”หลังจากที่เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบ เธอก็เอื้อมมือไปหยิบข้อมูลของวิสาหกิจเจิ้งซื่อ และอ่านใหม่อีกครั้ง
บริษัทตระกูลเจิ้งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่เคารพวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนเป็นอย่างมาก และอุตสาหกรรมหลักก็เป็นของโบราณเช่นกัน
ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางแต่งหน้าจำพวกเครื่องประดับสตรีประจำชาติ
ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางทั่วไปในท้องตลาด ผลิตภัณฑ์ตระกูลเจิ้งใช้สูตรเก่าที่ตกทอดมาจากครอบครัว ซึ่งคล้ายกับแป้งร่ำน้ำปรุง[1]ในสมัยโบราณ
การผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและน้ำหอมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน หลังจากได้รับการปรับปรุงแล้ว จะกลับมาเปิดตัวในตลาดอีกครั้ง
ฉันได้ยินมาว่าผู้จัดการใหญ่ของเจิ้งซื่อ ก็เป็นคนที่รักชาติมากเช่นกัน
บริษัทตระกูลเจิ้งสามารถเปิดเผยต่อสาธารณะผ่านการจัดหาเงินทุนได้ตั้งนานแล้ว แต่เขากลับไม่ยินยอม เขากังวลว่าหลังจากธุรกิจของครอบครัวออกสู่สาธารณะแล้ว ความสามารถในการควบคุมบริษัทจะไม่สัมบูรณ์ และจะส่งผลต่อการส่งเสริมวัฒนธรรมจีนที่ยอดเยี่ยมของบริษัทตระกูลเจิ้ง
แม้ว่าการคิดอย่างนั้นจะดูเหมือนสายตาไม่กว้างไกลไปหน่อย แต่สิ่งที่ตระกูลเจิ้งทำนั้นเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนไม่ยินยอมที่จะทำ
ดังนั้นบริษัทตระกูลอวี๋จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความร่วมมือในครั้งนี้
ภาระหน้าที่ในการติดต่อพูดคุย จึงมอบอำนาจและสิทธิขาดให้กับเหนียนเสี่ยวมู่ทั้งหมด
เหนียนเสี่ยวมู่พลิกอ่านข้อมูลในมือของเธอ และจดจำถึงวัฒนธรรมและจุดประสงค์ของบริษัทตระกูลเจิ้ง ทว่าเธอมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
เช่น ความชอบของเจิ้งเหยียน
เธอหาจุดอ่อนของคน ๆ นี้ไม่ได้เลย
เมื่อต้องเจรจากับบุคคลเช่นนี้ ก็มีความรู้สึกว่าไม่สามารถสืบหาพื้นเพของอีกฝ่ายได้เลย
เหนียนเสี่ยวมู่จึงค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเพิ่ม แล้วอ่านกรณีความร่วมมือที่จัดการโดยเจิ้งเหยียนอีกรอบ
[1] แป้งร่ำน้ำปรุง (胭脂水粉) ปรุงจากแป้งหินผสมกับน้ำอบ แล้วบีบลงผ้าขาวเป็นกรวยแหลม เมื่อแห้งแล้วเก็บมาอบร่ำด้วยดอกไม้และเครื่องหอมอีกครั้ง ใช้สำหรับทำแป้งผัดหน้า
ตอนที่ 802 ทำไมถึงเป็นหล่อนล่ะ!
ใกล้จะถึงเวลานัดหมายแล้ว ทีมงานก็พร้อมออกเดินทาง
สถานที่เจรจากับบริษัทตระกูลเจิ้งเดิมถูกจัดขึ้นที่บริษัทตระกูลอวี๋ แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่สบายชั่วคราว จึงเปลี่ยนเป็นโรงแรมที่ตัวแทนบริษัทตระกูลเจิ้งพักอยู่
ณ จุดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร พวกเขาต่างก็สามารถให้ความร่วมมือกันได้
เหนียนเสี่ยวมู่พาเพื่อนร่วมงานในแผนกของเธอไปยังสถานที่ที่ตกลงกันไว้
เวลาบ่ายสามโมง
พวกเขามาถึงตามเวลานัดหมายอย่างพอดิบพอดี และเข้าไปในห้องประชุมที่จองไว้ล่วงหน้าโดยบริษัทตระกูลเจิ้ง แต่จู่ ๆ เลขาก็ได้รับสายหนึ่ง
“ผู้จัดการเหนียนคะ คนจากบริษัทตระกูลเจิ้งกล่าวว่ารองประธานเจิ้งยังไม่สบายมาก และได้เรียกหมอมาดูอาการแล้วค่ะ แล้วถามว่าขอให้พวกเรารออีกหน่อยได้ไหมคะ”เลขายื่นมือปิดโทรศัพท์ และหันศีรษะมาถาม
เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้ว แต่ก็เข้าใจเช่นกัน จึงพยักหน้าให้เธอ
เลขาสาวรีบตอบกลับอีกฝ่ายทันที
หลังจากวางสาย ในห้องประชุมก็มีเพียงเพื่อนร่วมงานในแผนกประชาสัมพันธ์ที่มองหน้ากันไปมา
จนเพื่อนร่วมงานหลายคนอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูด
“เวลาและสถานที่ทุกคนก็ให้ความร่วมมือกับพวกเขาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมาสักคน วางมาดใหญ่โตจริง ๆ”
“ใช่ ๆ แม้ว่ารองประธานเจิ้งจะไม่สบาย แต่คนอื่น ๆ ในบริษัทตระกูลเจิ้งเองก็ควรมาปรากฏตัวสักหน่อยสิ”
“นายคิดว่า พวกเขากำลังแสดงอำนาจอยู่หรือเปล่า”
“สมองนายพังเหรอ เรื่องแสดงอำนาจก็ต้องเป็นบริษัทตระกูลอวี๋ของพวกเราที่จะให้คนอื่นสิ ใครหน้าไหนจะมาแสดงอำนาจกดขี่พวกเราได้ละ น่าจะไม่สบายจริง ๆ นั่นแหละ”
“……”
เหนียนเสี่ยวมู่ที่นั่งอยู่ก็ไม่พูดไม่จา
กลับกันเลขาเริ่มพูดปลอบโยนหนึ่งประโยค “นี่พูดให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ คนอื่น ๆ ในตระกูลเจิ้งได้ลงมาแล้ว”
ทันทีที่เสียงของเลขาสิ้นลง ที่ประตูห้องประชุมของโรงแรมก็ปรากฏคนในชุดสูทเรียบร้อยสองสามคนขึ้น
ทันทีที่เขาเดินเข้ามา พวกเขาก็มองไปที่เหนียนเสี่ยวมู่เพื่อแสดงการขอโทษอย่างยิ่ง
“ผู้จัดการเหนียน ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องรอนาน” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และยื่นมือไปหาเหนียนเสี่ยวมู่เพื่อทำความรู้จัก
บนหน้าผากยังมีเหงื่ออยู่อีกมาก
ดูเหมือนว่า คงจะรีบวิ่งลงมาอย่างรีบร้อน
“รองประธานเจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง เธอสบายดีไหมคะ” เหนียนเสี่ยวมู่จับมือของอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายวัยกลางคนก็ขมวดคิ้วราวกับว่าถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ
“อาการตอนนี้ยังไม่ชัดเจนครับ เลขาอยู่ในห้องเพื่อดูแลเธอและกำลังรอหมอมาครับ คงต้องรบกวนทุกคนกรุณารอสักครู่นะครับ รอรองประธานของเราก่อนนะครับ”
“……”
ผู้จัดการเหนียนมองไปที่เลขาแวบหนึ่ง เลขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และเชิญคนจากบริษัทตระกูลเจิ้งเข้าไปนั่ง
ภายในห้องประชุม หลังจากการทักทายผ่านไป ก็เงียบสงบลงมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกัน นอกจากการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือแล้วก็ไม่มีคุยเรื่องอื่นเลย
เมื่อเจิ้งเหยียนไม่อยู่ คนในบริษัทตระกูลเจิ้งก็ไม่มีใครที่จะสามารถตัดสินใจแทนได้ แม้ว่าเหนียนเสี่ยวมู่ต้องการจะพูดคุยแต่ก็ไม่สามารถพูดคุยได้ จึงทำได้แค่รอไปก่อน
ชั่วขณะนั้นเอง บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม
ในเวลาเดียวกัน
ที่บริษัทตระกูลอวี๋
อวี๋เยว่หานที่เพิ่งออกมาจากห้องประชุม และผู้ช่วยของเขากำลังติดตามเขาเพื่อเตือนเขาถึงกำหนดการของวันนี้
จู่ ๆ เขาก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน
และยกมือขึ้นมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือ คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “วันนี้เธอยังไม่ได้ไปที่โรงอาหารของพนักงาน และยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันนี่”
“อะไรนะครับ”ผู้ช่วยตะลึงงัน
เมื่อมองไปที่แววตาที่แสดงความไม่พอใจของอวี๋เยว่หาน เขาก็กลับมามีสติอย่างรวดเร็ว “ในตอนบ่ายมีการเจรจากับบริษัทตระกูลเจิ้ง คุณหนูเหนียนก็ได้สั่งเดลิเวอรีไปแล้วครับ”
ผู้ช่วยรีบตอบไปอย่างรวดเร็ว และบ่นในใจอย่างเงียบ ๆ
คุณชายหาน คุณเป็นห่วงคุณหนูเหนียนมากขนาดนี้ จะกล้าให้เธอรู้เหรอ
ถ้าคุณบอกเธอ บางทีเธออาจจะย้ายกลับไปอยู่กับคุณ และคุณจะได้จ้องมองเธอทานอาหารเย็นได้ทุกวันนะครับ
“บริษัทตระกูลเจิ้งเหรอ เขาส่งใครมาล่ะ” ดวงตาสีดำของอวี๋เยว่หานสั่นไหว แต่เมื่อได้ยินผู้ช่วยพูดว่าเป็นเจิ้งเหยียน ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที
“ทำไมถึงเป็นหล่อนล่ะ!”