หนานกงยวี่ก้มลงมองดูสาวน้อยในอ้อมกอดของตนด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นแสนอ่อนโยน “อ้อ ของว่างที่ลูกน้องตัวน้อยของเจ้าพูดถึงข้าก็อยากกิน อยากลองชิมทุกอย่างเลย อืม ! ครั้งนี้เอาแค่เพียงเท่านี้ก่อนแล้วกัน”
กล่าวจบ อีกฝ่ายก็หมุนกายขึ้นรถม้าไป โดยไม่ให้โอกาสเกอซีได้ตั้งตัวหรือตอบรับใด ทิ้งให้หญิงสาวต้องยืนอึ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่หน้าประตูเรือนแต่เพียงผู้เดียว !
วันนี้เอาแค่เพียงเท่านี้ก่อน ! เจ้าคนเหลือขอผู้นี้คิดว่าตนคือผู้ใดกัน ? !
หากแต่สิ่งที่ทำให้เกอซีถึงกับต้องสลดนั้นคือ เพียงวลีเดียวจากองค์ราชันมัจจุราชก็ทรงอำนาจดุจทรราชผู้ร้ายกาจ ที่ไม่อาจมีผู้ใดกล้าบิดพริ้ว หรือขัดขืนได้เลย
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกสองวันหนานกงยวี่จะมาเยี่ยมเยือนเรือนหลังน้อย นั่งทำตัวเป็นคน ‘กินแรง’ ทั้งยังอ้างว่านี่ถือเป็นรางวัลมัดจำล่วงหน้าสำหรับน้ำพักน้ำแรงของเขา
คราใดที่เขาไม่สามารถมาได้ด้วยตนเองก็ยังมิวายที่จะส่งไป๋หู่มารับปิ่นโตกลับไปกินในพระตำหนัก ทำให้ไป๋หู่นักชิมจอมนินทามีความสนิทสนมมักคุ้นกับคนในเรือนน้อยหลังนี้ไปแล้ว ยิ่งเมื่อได้กินอาหารรสเลิศแสนอร่อยฝีมือเกอซีไป๋หู่ก็ยิ่งยอมรับนับถือในตัวแม่ครัวน้อยฝีมือล้ำผู้นี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ จากเดิมที่ชายหนุ่มเคยดูหมิ่นดูแคลนมาบัดนี้กลับกลายเป็นผู้มาคอยยกยอปอปั้นประจบประแจงอีกฝ่าย
แต่ละวันผ่านไปเช่นนี้มาโดยตลอดครึ่งเดือน กระทั่งหนานกงยวี่ห่างหายไม่มาเยือนที่เรือน อีกทั้งไป๋หู่ก็ไม่มารับปิ่นโตบ่อยครั้งดังที่เคยเป็น
ครั้นเมื่อเกอซีถามไถ่ถึงหนานกงยวี่ นางกลับได้รับคำตอบที่คลุมเคลือ นัยน์ตาของไป๋หู่บ่งบอกพิรุธหลบซ่อนปิดบังบางอย่าง ทำให้นางไม่พอใจยิ่งนัก
วันนี้ไป๋หู่มารับปิ่นโตอีกเช่นเคย หากแต่เมื่อรัยรู้ได้ว่าทั้งเกอซี และเซี่ยวหลีต่างไม่ต้อนรับตนเหมือนดังที่เคย ไป๋หู่กระเถิบกายเข้ามาใกล้เอ่ยกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “คุณชายซี หลายวันมานี้นายท่านมีภารกิจมากจริง ๆ จึงไม่อาจมาได้ด้วยตนเอง หากแต่ไม่ว่านายท่านจะมีภารกิจมากมายเพียงไรก็ยังไม่ลืมกำชับข้าให้มาคอยดูแลคุณชายซี”
เกอซีแค่นเสียงออกมาอย่างเฉยชา “อ้อ” ในน้ำเสียงนั้นไม่แสดงอาการทั้งขุ่นเคืองหรือพอใจ ราวกับทั้งคู่กำลังพูดถึงใครสักคนที่มิได้สลักสำคัญแต่ประการใด
ครั้นเมื่อไป๋หู่รำลึกถึงว่านายของตนมอบคุณค่าความสำคัญให้แก่หนุ่มน้อยหน้ามนผู้นี้มากเพียงไร ภายในใจของเขาพลันบีบคั้นจนเม็ดเหงื่อที่เย็นเยียบไหลอาบท่วมแผ่นหลัง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นความผิดของชิงหลงกับจูเฉวี่ยโดยแท้ ! เจ้าสองคนนั่นย้ำแล้วย้ำอีกให้เขาคอยระวังผู้ที่พยายามทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมเพื่อวางแผนลอบทำร้ายนายท่าน อีกทั้งช่วงนี้ยังเป็นช่วงวิกฤติที่ถือว่าอันตรายที่สุดของนายท่าน ไป๋หู่จึงไม่อาจไว้ใจ และวางตัวเย็นชากับคุณชายซีเยว่
หากแต่ผลของมันกลับกลายเป็นว่าเมื่อวันก่อนที่เขาไปส่งปิ่นโตให้นายท่าน กลับได้เห็นสีหน้าหม่นมัวอย่างคาดไม่ถึงของนายท่าน
อู้……ตอนที่เขาเห็นภักษาพลังปราณ มันก็แลดูเหมือนทุกครั้งที่เคยรับ ทั้งกลิ่น ทั้งหน้าตา อีกทั้งรสชาติย่อมต้องเลิศล้ำ พลังปราณก็อัดแน่นเปี่ยมล้น หากแต่ที่สุดแล้ว เหตุใดนายท่านจึงกล่าวว่ารสชาติไม่เหมือนเดิมเล่า ? ! นายท่านสามารถรับรู้ได้ถึงความขุ่นข้องเคืองใจของคุณชายซีเย่วเพียงเมื่อได้ลิ้มรสอาหารฝีมือคุณชาย !
นับแต่นั้นมา ไม่ว่าชิงหลงหรือจูเฉวี่ยจะกรอกหูเขาเพียงไร ไป๋หู่ก็ไม่กล้าเมินเฉยต่อคุณชายซีเย่วอีกเลย
เขาไม่เคยเห็นนายท่านมีใจกับผู้ใดมาก่อน หากคนผู้นั้นคือยอดดวงใจของนายท่าน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นอิสตรีหรือบุรุษ เขา ! ไป๋หู่ ! ขอสาบานว่าจะปกป้องคนผู้นั้นให้สุดกำลังความสามารถ
ยิ่งมิต้องกล่าวถึงว่า หากเขากระทำสิ่งใดที่ทำให้คุณชายซีเย่วต้องขัดเคืองใจ มิเท่ากับตัดโอกาสตนที่จะได้ชิมยอดอาหารอันโอชะไปหรอกหรือ ? !
ขณะที่ไป๋หู่กำลังจมดิ่งอยู่กับความนึกคิดวกวนของตนเอง แม่นมเฉินก็วิ่งพรวดพราดร้องตะโกนออกมาด้วยอาการแตกตื่นใจ ซึ่งแตกต่างจากอุปนิสัยที่ใจดีอ่อนโยนตามปกติของนาง “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ ! คนจากเรือนน่าหลานแห่กันมาเจ้าค่ะ !”
แม่นมเฉินจิตใจกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัวคนจากจวนน่าหลานจนกลายเป็นความฝังใจ แม้ว่ายามนี้ คุณหนูของนางจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังอดหวั่นใจต่อคนสกุลน่าหลานมิได้ เช่นนั้นยามเมื่อหญิงชรากำลังร้อนรนจึงร้องเรียกหานายของตนด้วยฐานะที่แท้จริงโดยไม่สนใจไป๋หู่ผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย
ไป๋หู่จ้องเกอซีจนลูกตาแทบจะถลนออกมาด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าเขาจะสงสัยมานานแล้ว แม้ว่าจูเฉวี่ยจะเคยบอกเป็นนัย ๆ ว่าคุณชายซีเย่วเป็นอิสตรี หากแต่….หากแต่ใต้หล้านี้มีวิชาปลอมแปลงโฉมที่แนบเนียนปานนี้เทียว ?
***จบตอน คนจากเรือนน่าหลาน***