“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องจริงรึ ?” ทุกผู้คนที่พากันตั้งใจฟังล้วนเอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นตกใจ “แต่ท่านหมอน่าหลานเป็นท่านหมอคนสำคัญแห่งนครจิงหลิง ส่วนสกุลจูเองก็มีการค้าที่ต้องดูแล แล้วเหตุใดนายใหญ่สกุลจูจึงไปมีเรื่องกับคนสกุลน่าหลานได้เล่า ?”
“หึหึ กลางดึกเมื่อสองวันก่อน คุณชายจูถูกคนผู้หนึ่งเปลื้องอาภรณ์ทั้งหมดออกจากกายก่อนจะนำเขาไปมัดไว้กับต้นเสาในเรือนหลังเล็ก เช้าตรู่วันต่อมา พ่อค้าที่ออกมาทำมาค้าขายเดินผ่านหน้าเรือนที่เปิดบานประตูทิ้งไว้จึงได้เห็นร่างขาวสะอาดล่อนจ้อนของคุณชายจู เท่านั้นคนผู้นั้นก็ร้องแตกตื่นตกใจทำให้คลื่นมหาชนพากันเข้ามามุงดูสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นนี้แล้วศักดิ์ศรีของสกุลจูย่อมเสียหายอย่างใหญ่หลวง”
ทั่วทั้งห้องครึกโครมไปด้วยเสียงหัวเราะลั่นของทุกผู้คนที่ได้รับฟังเรื่องนี้ เพียงนึกภาพตามฉากที่ร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวของผู้บรรยายพวกเขาก็กลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้วจริง ๆ
ทว่าความฉงนสงสัยยังคงไม่เลือนหาย “หากแต่เรื่องน่าอัปยศของคุณชายจูมีความเกี่ยวข้องใดกับสกุลน่าหลานเล่า ?”
ผู้บรรยายหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงลึกลับ ก่อนจะเอ่ยออกเสียงมาเบา ๆ “เจ้าถามว่า ที่สุดแล้ว ผู้ที่มอบบทเรียนอันโหดร้ายให้แก่คุณชายจูผู้กระทำตนหยาบคายไร้เหตุผลวางท่าใหญ่โตไปทั่วนครเหยียงจิงคือผู้ใดงั้นหรือ ? ข้าจะบอกแก่พวกเจ้าก็ย่อมได้ หากแต่พวกเจ้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ….. คนผู้นั้นก็คือ….. คุณหนูรองแห่งสกุลน่าหลาน น่าหลานเฟ่ยเสวี่ย”
“ไอ่หยา ! เป็นไปไม่ได้ ?” แต่ละคนล้วนมีสีหน้าพิศวงประหลาดใจ “เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ ? ได้ยินมาว่าคุณหนูรองสกุลน่าหลานเป็นกุลสตรีผู้มีรูปโฉมงดงาม กิริยาสุภาพอ่อนโยน อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์อันล้ำเลิศ นาง…..นางจะทำเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ได้อย่างไร ? อาจบางที ยังจะมีใครบางคนเป็นผู้กระทำแต่กลับใส่ร้ายโยนความผิดมาให้นางก็เป็นได้”
ทุกคนต่างฉงนสงสัยในตัวผู้บรรยายเรื่องราว ความไม่พอใจพลันกระจายกว้างออกไปทั่วใบหน้าของชายผู้นั้นเขาเปล่งเสียงฮึมฮัมเอ่ยออกมาว่า “ใส่ร้ายอะไรกัน หากไม่ใช่เพราะคนสกุลจูมีหลักฐานพร้อมมูลอยู่ในมือ พวกเขาจะกล้าไปประกาศศักดาถึงหน้าประตูเรือนน่าหลานรึ ? ฉายาท่านหมออัจฉริยะน่าหลานมีไว้เพียงเพื่อเป็นเครื่องประดับเรือนกระนั้นรึ ?”
ขณะที่กล่าว เขาค่อย ๆ ลดน้ำเสียงให้เบาลงพร้อมปล่อยหัวร่อออกมาอย่างคะนองปาก “หากข้าคาดเดาไม่ผิด ย่อมเป็นเพราะคุณชายจูอดยั้งชั่งใจไว้ไม่อยู่เมื่อได้เห็นรูปโฉมอันงดงามของคุณหนูรองแห่งน่าหลาน……ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขากลับได้รับบทเรียนอันแสนร้ายกาจนี้เป็นค่าตอบแทน”
“ทว่า…… ทว่าคุณหนูรองแห่งน่าหลานยังมิได้ออกเรือน แม้ว่านางจะเป็นสตรีที่ร้อนแรงบ้าบิ่นสักเพียงใดก็ไม่น่าจะหาญกล้าถึงขนาดจับบุรุษเปลื้องอาภรณ์ออกได้……. นี่มันเท่ากับหยามเกียรติไม่ไว้หน้ากันชัด ๆ มิสงสัยเลยว่าไยสกุลจูจึงยกพวกไปเรือนน่าหลานแต่เช้าเยี่ยงนี้”
เสียงซุบซิบนินทามีชีวิตชีวาดังขึ้นไปเรื่อย ๆ หากแต่เกอซีหยุดใช้พลังภายในเพื่อลอบฟังเรื่องราวพวกนั้นเมื่อนางเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากได้ชิมสำรับอาหารที่เสี่ยวเอ้อนำมาตั้งโต๊ะทีละชุด ๆ
เบื้องหน้าสายตาคือของว่างที่โชยกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ความมันวาวเลื่อมของมันกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีไม่น้อยจนท้องของเกอซีเริ่มส่งเสียงดังครืดคราดเพื่อตอบรับ หากทว่าทันทีที่ของว่างถูกส่งเข้าปากหญิงสาวกลับต้องย่นคิ้ว
กลิ่นหอมจากอาหารที่อุดมไปด้วยพลังปราณไม่อาจเป็นเครื่องยืนยันรสชาติความอร่อยของอาหารได้เลย คงบอกได้เพียงว่ามันช่างจืดชืดไร้รสชาติ อีกทั้งทำให้ยิ่งต้องผิดหวังเพราะในขั้นตอนการปรุงอาหารของที่นี่ทำให้ต้องสูญเสียพลังปราณซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติของอาหารสำรับนี้ไปถึงสามส่วน
เกอซีเพียงลิ้มชิมรสสำรับแต่ละจานไปแค่เพียงสองสามคำเท่านั้นด้วยนางรู้สึกผิดหวังกระทั่งต้องวางชามและตะเกียบลงในที่สุด
ในอดีตภพของนางนั้น นางต้องปฏิบัติภารกิจซึ่งต้องใช้เวลานาน และเป้าหมายของภารกิจในครั้งนั้นก็คือการปรุงอาหาร ซึ่งเป็นงานอดิเรกของเกอซี เพื่อพัฒนาตนเองให้สามารถทำคะแนนได้เป็นลำดับสูงสุดในชั้นเรียนเกอซีจึงศึกษาค้นคว้าเคล็ดลับและฝึกฝนทุกอย่างลงมือทุกขั้นตอนด้วยตนเอง นางฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายปีกระทั่งที่สุด ภารกิจนั้นก็บรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ
ภายหลังจากภารกิจเสร็จสิ้น เกอซีกลับพบว่าอาหารในร้านธรรมดาทั่วไปกลับกลายเป็นสิ่งไร้รสชาติไปแล้วสำหรับนาง ด้วยเพราะทักษะการปรุงอาหารที่พัฒนาไปถึงขั้นเทพของนาง อีกทั้งยังได้ค้นพบว่าช่างยากเย็นยิ่งนักที่จะเจออาหารที่สามารถทำให้ปลายลิ้นของนางถึงความพึงพอใจได้
เมื่อใต้หล้านี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง เป้าหมายของทุกคนจึงเป็นการพัฒนาพลังฝีมือฝึกปรือพลังปราณให้แข็งแกร่ง พวกเขาเพียงบริโภคภักษาพลังปราณเหล่านี้เพื่อเติมเต็มกระแสพลังให้แก่ตนเอง ไม่มีผู้ใดสนใจที่จะสรรสร้างสำรับอาหารที่เลอเลิศ เช่นนั้นแล้ว ระดับคุณภาพอาหารในที่นี้จึงนับว่ายังห่างไกลจากโลกที่นางจากมาอย่างห่างไกลกันลิบลับ
ผู้คนที่นี่ไม่ใส่ใจในเรื่องกลิ่นและรสชาติหากแต่มิใช่สำหรับเกอซี หญิงสาวตัดสินใจออกไปหาซื้อเครื่องปรุงและวัตถุดิบในการประกอบอาหารเพื่อจะลงมือปรุงมันให้เป็นที่น่าพอใจด้วยมือของตนเอง ส่วนสำรับอาหารพวกนี้ นางจะนำกลับไปเป็นภิกษาพลังปราณให้แก่ต้านต้าน
เกอซียิ้มเยาะออกมาเล็กน้อยก่อนจะรวบเก็บสำรับที่เหลือบนโต๊ะและลุกไปจากโรงเตี๊ยมเซียนสำราญ
***จบตอน คุณหนูแห่งน่าหลานผู้หยามหมิ่น***