ณ เรือนน่าหลาน
ยามนี้ น่าหลานเจิ้งเจ๋ออยู่กับผู้เฒ่าท่านหนึ่ง เขาเลือกนั่งในที่ต่ำกว่าคนผู้นั้นเล็กน้อยด้วยอาการนอบน้อม พลางเอ่ยกล่าวขึ้นเบา ๆ “จากข้อมูลน่าเชื่อถือที่ข้าได้มา คงมีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นปฐพีสะท้านสะเทือน และย้ายเคลื่อนจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่เขตแดนผนึกมังกรได้ ท่านผู้เฒ่าอาวุโส พวกเราสกุลน่าหลานล้วนมีความหวังจะได้สมบัติล้ำค่าจากอาณาจักรกำบัง หากทว่าคงมีเพียงท่านผู้เดียวเท่านั้นที่อาจช่วยพวกเราได้”
ผู้ที่น่าหลานเจิ้งเจ๋อเรียกขานว่าผู้เฒ่าอาวุโสนั้นคือชายชราหนวดยาวผู้มีอายุคล้ายดั่งประมาณ 35-36 ปี หากทว่าหนวดเคราของคนผู้นั้นกลับขาวโพลน ในแวววตาฉายความปราดเปรื่องแสดงถึงพลังฝีมืออันสูงล้ำ
ท่านผู้นี้มีนามกรว่า น่าหลานเยี่ยนหมิงผู้มีพลังฝีมือสูงส่งอย่างที่สุดในตระกูลน่าหลาน ยังอีกทั้งคนผู้นี้นั้นคือผู้เฒ่าอาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพนับถือแห่งตระกูลน่าหลาน
เมื่อได้ฟังคำของน่าหลานเจิ้งเจ๋อ ประกายตาอันเย็นเยียบเฉียบคมประดุจปลายกระบี่ของน่าหลานเยี่ยนหมิงพลันฉายวาบขึ้นขณะน้ำเสียงไม่เร่งร้อนของเขาดังขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นตำรับโอสถบรรพกาล ผู้สืบทอดมฤตยูแห่งความวินาศ ผลไม้เวทพันปี ล้วนคือสมบัติอันล้ำค่าอย่างไม่อาจประมาณราคา หากเราได้มา สกุลน่าหลานย่อมสามารถดำรงอยู่อย่างสถาพรภายใต้อาณาจักรจินหลิงอย่างแน่นอน”
“ทว่าเรายังไม่ชัดแจ้งว่ายอดฝีมือท่านใดจะสามารถนำตนเข้าสู่อาณาจักรกำบังได้ ข้ายังเกรงว่าแม้กระทั่งตัวข้าอาจไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้”
น่าหลานเจิ้งเจ๋อหัวเราะเบา ๆ พลางควักขวดโอสถออกมาจากอกเสื้อ “ด้วยเหตุนั้น ข้าจึงได้จัดเตรียมโอสถชุดนี้ไว้เพื่อท่านผู้เฒ่าอาวุโส ขวดหนึ่งนั้นบรรจุผงกัดกร่อนจิตวิญญาณไว้ คุณสมบัติของมันนั้นคือย่อยสลายขุมพลังปราณ กัดกร่อนเส้นชีพจรของผู้มีพลังฝีมือขั้นปฐพีสะท้านสะเทือนได้เป็นอย่างดี ขณะที่อีกขวดนั้นคือโอสถซึ่งสามารถช่วยเพิ่มพลังฝีมือให้ท่านผู้เฒ่าอาวุโสได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เชื่อข้าเถิดว่า ขอเพียงท่านมีโอสถทั้งสองขวดนี้ไว้ ท่านย่อมสามารถอยู่เหนือผู้อื่นใดในอาณาจักรกำบังอย่างแน่นอน”
นัยน์ตาของน่าหลานเยี่ยนหมิงเปล่งประกายขณะเหยียดยื่นมือออกรับขวดโอสถทั้งสอง หากทว่าเพียงกำลังจะเปิดจุกออก ผืนแผ่นดินกลับสั่นสะเทือนอย่างร้ายกาจรุนแรง
ฝุ่นผงจากเพดาด้านบนร่วงกราวตกใส่ร่างประดุจห่าฝน หิ้งชั้นวางโบราณกระทบลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังสนั่น
“นี่มันอะไรกัน ? มังกรดินปลดตนคืนสู่อิสระภาพกระนั้นหรือ ?” น่าหลานเจิ้งเจ๋อเอ่ยกล่าวด้วยอาการฉงนสนเท่ห์
“เห็นท่าจะไม่ดีเสียแล้ว !” สีหน้าของน่าหลานเยี่ยนหมิงแปรเปลี่ยนในทันที ฉับพลันร่างของเขาพลันพุ่งผละหายออกจากห้อง
ยิ่งยามนี้ ผืนแผ่นดินกลับยิ่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงหนักหนายิ่งกว่าก่อน ทั่วตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ทั้งหลายโกลาหลไปด้วยผู้คนที่แตกตื่นตกใจ
ทุกสายตาหันไปรวมลงในทิศทางเทือกเขาฉางซึ่งยังคงระเบิดประกายแสงเรืองรองแสบสะท้อนตาอย่างไม่หยุดยั้ง
เสียงร้องตะโกนไถ่ถามกันไปมาระเบ็งเซ็งแซ่ท่ามกลางสีหน้าที่ตื่นผวา
ฉับพลัน คนผู้หนึ่งยกมือชี้ตรงไปยังเทือกเขาฉางพลางแผดเสียงตะโกนลั่น “ดูโน่น มันอะไรกัน ?”
ทุกสายตาเบี่ยงตรงไปยังทิศทางที่คนผู้นี้ชี้บอก เพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏในคลองสายตาของทุกผู้คนนั้นคือบานประตูแห่งความสูญว่างซึ่งเปล่งประกายสีทองระยิบระยับกำลังค่อย ๆ แง้มเปิดขึ้นทีละน้อย บานประตูซึ่งสูงตระหง่านเย้ยสรวงสวรรค์แลผืนปฐพีเผยปรากฏ ประดุจสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่กำลังก้มแลดูบรรดาสรรพชีวิตทั้งหลายทั่วทั้งเมืองเหยียนจิงด้วยสภาพดั่งมดแมลงตัวกระจ้อยน้อย
“อาณาจักรกำบัง….. นั่นมันประตูเข้าอาณาจักรกำบัง !” เสียงคนผู้หนึ่งร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น “ที่สุด อาณาจักรกำบังแห่งเทือกเขาฉางก็เผยออกมาแล้ว”
เพียงวาจานั้นหลุดออกมา ทั่วทั้งเมืองเหยียนจิงพลันระเบิดไปด้วยเสียงระเบ็งเซ็งแซ่กึกก้องขึ้นมาในทันที
เขตแดนผนึกมังกร รวมกระทั่งสมบัติล้ำค่าที่พบเจอในเทือกเขาฉาง ได้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงอย่างที่สุดในช่วงสองสามวันมานี้ เพียงนึกถึงความหวังที่จะได้ครอบครองสมบัติซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ในอาณาจักรกำบัง นัยน์ตาของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายพลันเปล่งประกายแวววาว
ขุมสมบัติเหล่านั้น หากเพียงผู้ใดสามารถครอบครองแม้เพียงเสี้ยวส่วนเล็กน้อยย่อมสามารถบรรลุได้ถึงความสำเร็จอย่างรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสิ่งที่ปรารถนา เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่ใฝ่ปองบ้างเล่า ? ผู้ใดจะไม่กระสันหมายปรารถนาในโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้บ้างเล่า ?
เพียงเสี้ยวนาทีแห่งความโลเล ฝูงชนผู้ละโมบทั้งปวงต่างพากันรีบรุดมุ่งตรงเข้าเทือกเขาฉางอย่างไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ ประกายตาของพวกเขาสาดแสง ดวงหน้าแดงก่ำ ต่างคนล้วนกำลังลวงตนเองด้วยภาพฝันอันเลิศลอย
****
ขณะที่เชิงเขาฉางฝั่งตะวันตกนั้น สตรีผู้สวมใส่ผ้าคลุมใบหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวสะอาดตากำลังทอดสายตาแลดูฝูงชนที่แห่แหนประดังเข้าสู่เทือกเขาฉางด้วยกระบี่เหินเวหาจากระยะที่ไกลห่างด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างเย็นชา
“ความละโมบ และแรงตัณหาล้วนสามารถบดบังนัยน์ตาผู้คนให้มืดบอด เพียงปรารถนาจะครอบครองสมบัติล้ำค่าแห่งอาณาจักรกำบัง พวกเขาล้วนหลงลืมนึกถึงความสามารถของตนเองเสียสิ้น ด้วยความสามารถแค่เพียงนิดเช่นนี้คงได้ไปร่ำร้องขอชีวิตอยู่ในอาณาจักรกำบังเป็นแน่”
***จบบท คนละโมบ***