เพียงได้เห็นเกอซีเพลิงริษยาในใจของจูเฉวี่ยพลันโหมกระพืออย่างรุนแรง นางถลึงจ้องอีกฝ่ายจนลูกนัยน์ตาปูดโปนแทบจะหลุดทะลักราวลูกนัยน์ตาแข็งค้างของปลาที่ไร้ชีวิต สายตาที่เขม็งมองนั้นเหี้ยมโหดกระทั่งริ้วรอยแผลเป็นบนดวงหน้ายังสั่นกระเพื่อม
กลั้นใจสูดลมหายใจให้ลึกยาว กว่าน้ำเสียงแข็งกระด้างของนางจะเอ่ยออกมาได้ “น่าหลานเกอซี ยังไม่ทันได้ถามไถ่ถึงความคิดชั่วช้าในหัวของเจ้า เจ้าก็มาให้ข้าได้ไต่ถามพอดี เจ้าย่อมรู้ดีว่าพิษเหมันต์ในร่างของนายท่านกลับกำเริบ ทว่าเจ้ายังหมายจะใช้ต้นหญ้าหยินยะเยือก เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมายเอาชีวิตนายท่าน อย่าคิดว่าวาจาราวบุปผาที่เจ้าใช้ลวงหลอกพวกชิงหลงจะอำพรางสายตาของข้าได้ ข้าคือแพทย์ระดับห้าผู้ได้รับการยอมรับจากสมาพันธ์แพทย์ ความสามารถเทียบเท่าแมวสามขาเยี่ยงเจ้า กลับกล้ากล่าววาจาสามหาวว่าตนมีความสามารถสูงส่งกว่าข้ากระนั้นหรือ !”
เกอซียิ้มเยาะด้วยสายตาที่ทั้งหมิ่นหยาม และดูแคลนอีกฝ่าย “จูเฉวี่ย เจ้าช่างกล่าวคำโตเสียจริง รักษาริ้วรอยแผลเป็นที่ฝังลึกบนดวงหน้าของตนให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยกลับมาโต้คำกับข้าจะดีกว่า”
สีหน้าของอีกฝ่ายแข็งค้างไปทันที นางรีบยกมือขึ้นบดบังใบหน้าของตนด้วยสัญชาตญาณ
ครั้งที่นางเห็นนายท่านอุ้มหญิงโสโครกผู้นี้กลับมา นางพลันหลงลืมสิ้นทุกสิ่ง ในหัวอื้ออึงมึนชาไปด้วยเพลิงริษยา ไม่รู้ตัวกระทั่งผ้าคลุมหน้าของตนหล่นร่วงลงไปตั้งแต่เมื่อไร ครั้นเมื่อคิดได้ว่าทุกคนล้วนเห็นใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของนางแล้ว ความประหวั่นพรั่นพรึงพลันเอิบอาบไปทั่วทั้งดวงหน้า
สำหรับสตรีเยี่ยงจูเฉวี่ยผู้เฝ้าคอยรักษาภาพลักษณ์อันงดงามให้เป็นที่ประทับในห้วงใจของทุกผู้คน ใบหน้าย่อมเป็นสิ่งอันทรงความหมายเหนืออื่นใด ความหวาดกลัวอย่างเหลือแสนของนางนั้นคือ หวั่นเกรงว่าใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์นี้จะไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาของนายท่าน
ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว นัย์ตาที่อัดแน่นไปด้วยความมุ่งร้ายจับจ้องเขม็งไปยังเกอซี “สารเลว เจ้า….”
“เจ้ายังไม่รู้ตัวเลยหรือว่ารอยแผลเป็นบนใบหน้าของเจ้ายังคงกินวงกว้างอีกทั้งยังหม่นคล้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ ?” เกอซีพูดขัดอีกฝ่ายด้วยท่าทีเฉยชา
“ขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่า เมื่อใดที่รอยแผลนั้นแผ่กว้างกระจายไปทั่วทั้งดวงหน้า มันจะเริ่มส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง….. อา…… ช่างน่าตื่นตายิ่งนัก ทว่าเจ้าคือท่านหมอผู้มีทักษะทางการแพทย์ระดับห้ามิใช่หรือ ? เชื่อว่าเจ้าจะต้องหาหนทางรักษาอาการได้อย่างแน่นอน”
ดวงตาของผู้รับฟังเบิกโพลงตื่นผวาด้วยแทบไม่เชื่อหูตนเอง ไม่จริง ! นางไม่มีทางหลงเชื่อคำลวงพวกนี้ ไม่มียาพิษบ้าบอเช่นนั้นในใต้หล้านี้ ทว่า…..ทว่าท่าทีที่หญิงโสโครกผู้นั้นกล่าวดูแข็งขันจริงจัง หากทุกสิ่งล้วนเป็นจริงเช่นนั้น ?
เกอซีหาได้แยแสต่อความว้าวุ่นตื่นตระหนกของจูเฉวี่ยไม่ กลับกัน สีหน้าของนางยังคงเฉกเช่นเดิมยามเมื่อเอื้อนเอ่ยวาจากล่าว “กลับมาพูดถึงเรื่องที่เจ้าสนทนาค้างไว้ หากข้าสามารถใช้ต้นหญ้าหยินยะเยือกประสานรวมกับตัวยาโอสถที่ข้าเขียนสั่ง กระทั่งสามารถทำให้หนานกงยวี่ฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งยังสามารถยับยั้งอาการกำเริบของโรคในครานี้ได้เล่า”
“เป็นไปไม่ได้ !” จูเฉวี่ยแผดเสียงลั่น “ต้นหญ้าหยินยะเยือกมีฤทธิ์เย็นอย่างยิ่งยวด รังแต่จะทำให้อาการของนายท่านทรุดหนัก จะสามารรักษาอาการป่วยของนายท่านได้อย่างไร ?”
“โอ ! เช่นนั้นเมื่อเจ้าไม่เชื่อ เรามาเดิมพันกันไหม ?”
เกอซีขยับนิ้วเล่นจี้หยกที่แขวนประดับอยู่ข้างเอว นางยิ้มเยาะพลางเอ่ยคำ “หากข้าไม่สามารถทำให้หนานกงยวี่ฟื้นคืน ข้ายินดีรับโทษทัณฑ์จากเจ้า”
จูเฉวี่ยแผดเสียงแหลมสูงดังกังวาน “หากเจ้าไม่สามารถรักษาอาการของนายท่านได้จริง ข้าจะกรีดใบหน้าของเจ้า โรยผงพิษกัดกร่อนเนื้อหนังทั่วร่างของเจ้า !”
อายรัศมีอันเย็นยะเยียบประดุจปลายกระบี่ฉายวาบผ่านดวงตาของเกอซีขณะที่นางกล่าวตอบรับคำด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ข้าย่อมไม่ลังเลที่จะรับคำ ทว่า….หากข้าสามารถรักษาอาการของหนานกงยวี่ได้ ?”
ในหัวของจูเฉวี่ยพลันว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงหัวเราะเยาะที่เย็นชาจะลั่นสนั่นขึ้น “ใช้ส่วนผสมโอสถที่เจ้าสั่งพวกนี้น่ะหรือ ย่อมไม่มีหนทางทำให้นายท่านฟื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เจ้ามันเพ้อเจ้อเสียสติโดยแท้ ! หากเจ้าสามารถรักษาอาการของนายท่านได้จริง ข้าจะทำลายพลังยุทธของตนเอง และนับจากนี้ข้าจะไม่ขอดำรงความเป็นแพทย์อีกต่อไป เช่นนี้เป็นอย่างไร ?”
เกอซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย นางไม่สนใจจะต่อคำกับจูเฉวี่ย หากแต่กลับหันมาหาชิงหลง “รีบไปจัตเตรียมส่วนประกอบโอสถที่ข้าส่งให้เจ้าโดยด่วน”
***จบตอน ลงเดิมพัน***