ในห้องรับรองพิเศษซึ่งอยู่ชั้นสองของโรงน้ำชาหว่างเฟิงที่ตัวตึกตั้งเยื้องตรงข้ามกับโรงโอสถเซิงเต๋อมีบุรุษสองนายนั่งประจันหน้ากันอยู่ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ถูกส่งผ่านมาทางบานหน้าต่างที่แง้มออก ทำให้คนทั้งคู่ได้เห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงโอสถเซิงเต๋ออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ทันทีที่พวกเขาได้เห็นเด็กหนุ่มผู้เฉียดตายลุกขึ้นมาโคจรกระแสพลังในกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เด็กสาวตัวน้อยจะเหยียดยื่นแขนออกมาช่วยประคอง ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในห้องรับรองพิเศษลุกพรวดขึ้นทันที
กาน้ำชาล้มหกกระจายไปทั่วโต๊ะกระเด็นเปื้อนเปรอะเสื้อผ้า ทว่าชายผู้นั้นกลับไม่ใส่ใจ
บุรุษผู้นี้คือโอวหยางจื้อโซวง ขุนทัพผู้เก่งกล้าเกรียงไกรแห่งอาณาจักรจินหลิง อีกทั้งยังเป็นบิดาของโอวหยางฮ่าวเซวียน ผู้ได้รับการลงความเห็นว่าเป็นบุคคลพิการด้วยเพราะเส้นชีพจรลมปราณขาดสะบั้น
“เป็นไปไม่ได้….เป็นไปไม่ได้ ! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ?” โอวหยางจื้อโซวงบ่นพึมพำ “กระทั่งท่านหมอน่าหลานยังไม่อาจรักษาอาการเจ็บป่วยนี้ได้ จะมีผู้สามารถรักษาอาการนี้ได้อย่างไร ?”
บุรุษหนุ่มผู้นั่งตรงข้ามโอวหยางจื้อโซวงเงยหน้าขึ้นมองดูร่างของเด็กน้อยที่อยู่นอกหน้าต่างเดินหายไปจากครรลองสายตา รอยยิ้มสง่างามประดุจมารร้ายถูกทิ้งไว้เป็นรองรอยที่มุมปาก
โอวหยางจื้อโซวงเดินกลับไปกลับมาเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องด้วยท่าทีร้อนรนกระวนกระวาย เขาชะงักฝีเท้าลงได้ก็เมื่อลูกน้องของเขากลับเข้ามารายงานข่าวตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย
“เรื่องนี้ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดว่าเด็กชายผู้นั้นมีอาการเส้นชีพจรลมปราณฉีกขาดเฉกเช่นเดียวกับอาการป่วยของคุณชายขอรับ และตอนนี้เด็กชายผู้นั้นได้รับการรักษาซึ่งแม้จะยังไม่อาจเดินได้ตามปกติ หากแต่ผู้ดูแลโจวกล่าวว่า เพียงให้เขาได้โคจรเดินพลังปราณชั่วระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ความเจ็บป่วยในกายทั้งหมดจะได้รับการฟื้นฟูกระทั่งสามารถคืนสู่สภาวะปกติอย่างสมบูรณ์ขอรับ”
“นายท่าน ข้าน้อยไร้สามารถ ไม่อาจเรียนเชิญท่านหมออัจฉริยะมาที่นี่ได้…….เราสะกดรอยตามท่านหมออัจฉริยะผู้นั้นไปติด ๆ ทว่าเพียงชั่วมุมตึกก็คลาดจากคนผู้นั้นขอรับ”
โอวหยางจื้อโซวงเดือดดาลจนแทบจะไม่อาจยับยั้งสติอารมณ์ไว้ได้ด้วยพราะทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ทั้งความดีใจทั้งโกรธเกรี้ยว ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงต่างประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน ดั่งมังกรหัวกุดที่บินร่อนไร้ทิศหลงทาง เขาหันกลับมามองดูชายหนุ่มผู้นั่งยกขาพาดโต๊ะแย้มยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ฉับพลันในห้วงความทรงจำของเขาก็จุดประกายให้รำลึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ปรากฏเมื่อครู่ก่อน
ยามที่ท่านหมอเทวดาผู้นั้นให้การรักษาเด็กชายที่นอนป่วยอยู่ แววตาของชายหนุ่มผู้อยู่ตรงหน้าเขาส่งประกายแวววาวยามเมื่อจับจ้องมองดูเหตุการณ์เบื้องล่าง บนใบหน้าเผยให้เห็นความแปลกประหลาดในใจ ฉงนสนเท่ห์และความสนอกสนใจอย่างยิ่งยวด
สีหน้าซึ่งไม่เคยเกิดปรากฏฉายผ่านดวงหน้าชายหนุ่มออกมาเยี่ยงนี้ อาจบางที ชายผู้ดำรงตำแหน่งอันทรงอิทธิพลอย่างล้นเหลือแห่งอาณาจักรจินหลิงผู้นี้อาจถูกชะตากับท่านหมอเทวดาผู้นี้ก็เป็นได้
หรือเขาจะรู้จักหนุ่มน้อยผู้เป็นหมอเทวดาคนนั้น ?
คิดได้เช่นนี้ โอวหยางจื้อโซวงรีบก้าวตรงไปหน้าโต๊ะน้ำชาแล้วเอ่ยออกไปอย่างอดยั้งใจไม่ได้ “องค์ชายราชันมัจจุราช พระองค์รู้จักท่านหมอเทวดาหรือพะย่ะค่ะ ?”
ชายหนุ่มผู้ถูกขนานนามว่าราชันมัจจุราชยกศีรษะขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้าอันหล่อเหลาคมสันที่สามารถสยบสตรีทุกนางภายใต้ท้องนภา ยามนี้มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มของปีศาจร้ายที่เปี่ยมเสน่ห์อย่างไม่ตั้งใจ
“แม้จะเกินความคาดคะเนของเปิ่นหวาง หากแต่ถูกต้องแล้ว คนผู้นี้ย่อมเป็นผู้ที่คุ้นเคยกันดี”
โอวหยางจื้อโซวงตื่นเต้นยินดีเป็นที่ยิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารีบกล่าวอย่างเร็วรี่ “ทูลองค์ชายราชันมัจจุราช ขอได้โปรดช่วยแนะนำท่านหมอเทวดาผู้นี้ให้กระหม่อมได้หรือไม่พะย่ะค่ะ หากท่านหมอเทวดาสามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยของฮ่าวเซวียนได้ ตระกูลโอวหยางของเราจะตอบแทนให้ตามที่ประสงค์ทุกประการพะย่ะค่ะ”
ราชันมัจจุราชเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางผงกศีรษะเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพโอวหยางกลับไปก่อนเถิด เปิ่นหวางจะส่งคนไปแจ้งท่านหากได้ความคืบหน้าประการใด อาจบางที ตระกูลโอวหยางของท่านมีสิ่งที่ท่านหมอต้องการ…….”
แม้วาจาเอ่ยกล่าวของบุรุษผู้นี้จะเย็นชายโสโอหัง หากทว่าโอวหยางจื้อโซวงไม่อาจแสดงความไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อย และไม่อาจหาญกล้าที่จะแสดงความขุ่นเคืองใดให้ปรากฏ เขาทำได้เพียงผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมาและรีบจากไปอย่างเร่งด่วนด้วยอารมณ์ที่ตื่นตัว
ราชันมัจจุราชยังคงนั่งอยู่ในห้องน้ำชาขณะที่ให้คนนำน้ำชาชุดใหม่เข้ามาเปลี่ยน สายตาที่จับจ้องไปที่บานประตูอันว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แรงกล้า
***จบตอน โรงน้ำชาหว่านเฟิง***