ทันทีที่เกอซีย่างกรายเข้าสู่วังจื่อจินกลับอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วเข้าหากัน
ด้านนอกวังหรูหราสง่างามยิ่งใหญ่อลังการ ทว่าเพียงก้าวผ่านซุ้มประตูทางเข้า สิ่งที่แสดงอยู่เบื้องหน้ากลับเป็นเพียงโถงห้องที่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
ภายในห้องด้านในนั้นราบเรียบ ด้วยขนาดเพียงด้านละ 5 จ้าง* เพียงเท่านั้น ทั้งยังไม่ปรากฏว่าจะมีบันได หรือประตูนำสู่ห้องอื่นใดอีก ดูเหมือนการตบแต่งภายในกับภายนอกของวังจื่อจินแห่งนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
*1 จ้างคือ 2 เมตร
สิ่งสะดุดตาอย่างที่สุดภายในห้องนั้นคือเต๋าฟ้าดินทรงแปดเปลี่ยมที่สลักไว้ใจกลางห้อง สิ่งที่ถูกจัดวางไว้ที่ใจกลางห้องนั้นคือเตาหลอมสีม่วงเหลือบทองใบยักษ์ แม้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเตาหลอมใบนี้จะค่อนข้างล้าสมัยไม่โดดเด่นแต่ประการใด ทว่าปราดตามองแค่เพียงครั้ง เกอซีก็ล่วงรู้ได้ว่าเตาหลอมใบนี้มีมูลค่าสูงกว่าเตาหลอมในตำหนักราชันมัจจุราชนับร้อยเท่า
เห็นที ประมุขวังจื่อจินผู้นี้จะเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงโอสถด้วยกระมัง ? เช่นนั้น การรับช่วงสืบทอดจ้าววังย่อมมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปถึงการปรุงกลั่นโอสถด้วยกระนั้นหรือ ?
เมื่อคิดเช่นนั้น ความสนใจใคร่รู้ของหญิงสาวกลับยิ่งท่วมท้นทวีขึ้น
แม้นางจะมีตำรับยาสรรพโอสถอันหลั่งล้นอยู่ ทว่าตัวยาสมุนไพรที่จำต้องนำมาใช้ในการปรุงกลั่นโอสถนั้นหาใช่สิ่งที่สามารถไขว่คว้าค้นหาได้ในแถบทวีปหมีหลัว หรือหากจะกล่าวให้ตรงอย่างเที่ยงแท้นั้นก็คือ สมุนไพรทั้งหลายเหล่านั้นแม้เพียงชื่อ นางก็ไม่เคยได้ยิน
นอกจากตำรับสรรพโอสถอันหลั่งล้นแล้ว เครื่องมือกลั่นปรุงโอสถใด นางล้วนไม่มีทั้งสิ้น เช่นนั้น หากการเป็นผู้สืบทอดวังจื่อจินจะหมายถึงสมบัติดังเช่นเตาหลอมใบนี้ ย่อมนับว่าวิเศษอย่างยิ่ง !
มังกรทองตัวน้อยในมือของหญิงสาวส่ายหน้ากล่าวอย่างภาคภูมิปนความยโสโอหัง “สาวน้อย เห็นหรือยังเล่า ? นี่ล่ะคือสิ่งที่เหล่ายอดยุทธทั้งหลายต่างหมายใฝ่ปอง พวกมันล้วนใฝ่ฝันได้เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเป็นผู้สืบทอดวังจื่อจิน หากเจ้าใคร่ปรารถนาจะรับรู้บททดสอบเริ่มต้นแห่งการรับช่วงสืบต่อเพื่อเป็นผู้สืบทอด เช่นนั้นเจ้าคงต้องดูแลราชันผู้นี้ให้ดี…..”
ขณะที่เจ้ามังกรทองตัวจ้อยกำลังเจื้อยแจ้วอยู่นั้น เสียงอู้อี้อึกอักด้วยอาการตกตะลึงพลันแทรกขึ้น มันจับจ้องเกอซีด้วยสีหน้ายากจะเข้าใจ
พลังแสงสีทองอันอุดมไปด้วยขุมปราณเพลิงทอประกายวูบวาบอยู่เหนือปลายนิ้วของเกอซีก่อนจะถูกเหวี่ยงเข้าหาปลายปากเตาหลอมอย่างแม่นยำ และนุ่มนวล
เพียงปราณพลังเพลิงแสงสีทองนั้นตกกระทบเข้าสู่เตาหลอม มันก็แผ่กระจายเอิบอาบไปตลอดทั่วทั้งผิวเตา แสงสว่างอันเรืองรองก่อหลอมรวมตัวเลี้ยวลดเป็นวงคดไปมาไร้ระเบียบ ขณะที่ประกายแสงแห่งเปลวเพลิงยังคงแปรเปลี่ยนเฉดสีต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
มังกรทองตัวจิ๋วชี้กรงเล็บไปทางเตาหลอมพลางส่งเสียงตะกุกตะกักแทบไม่เป็นภาษา “เจ้า….. เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้องก่อพลังปราณเพลิงลงไปเช่นนี้…..ไม่ใช่ ! ไม่ใช่แล้ว ! แม่สาวน้อย เจ้ามิใช่ผู้ที่มีพลังปราณขั้นปฐมภูมิโลกันตร์กระนั้นหรือ ? ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังเพียงขั้นปฐมภูมิโลกันตร์จะสามารถหลอมรวมพลังปราณเพลิงได้อย่างไรกัน ? ทั้งนั่นยังเป็นปราณเพลิงชั้นสูง นี่…..นี่มัน……”
โดยที่แท้แล้ว แต่แรก เขาก็เพียงหวังจะแสดงความเก่งกล้าต่อหน้าหญิงสาวเพื่อให้นางยอมสิโรราบแก่ตน หมายจะให้นางอ้อนวอนร้องขอเขาสักค่อนวัน* จากนั้นจึงค่อยปันเพลิงมังกรให้แก่นางสักกระผีก
*ค่อนวัน หมายถึง นานมาก
ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ว่านางสามารถใช้พลังปราณเพลิง เพื่อเริ่มเปิดบริบทเข้าสู่บททดสอบการเป็นผู้สืบทอดได้ในทันที พลังปราณเพลิงซึ่งมีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นสูงกว่าปฐมภูมิโลกันตร์เท่านั้นจะสามารถควบคุมบังคับได้….. ที่สุดแล้วฐานะที่แท้จริงของสาวน้อยผู้นี้เป็นอย่างไรกัน ?
เกอซีหาได้สนใจความตื่นตะลึงของเจ้ามังกรทองตัวจิ๋วไม่ นางกระเถิบกายเข้ามาตรวจขุมพลังปราณเพลิงที่ถูกหลอมควบกลั่นออกมากระทั่งใกล้ขอบเตา
เพียงเกือบถึงเตาหลอม พลังแสงสีม่วงที่เข้มข้นแรงกล้าสายหนึ่งพลันปะทุขึ้นเบื้องหน้าสายตาพร้อมกลุ่มควันสีเทาบางเบาที่ม้วนตัวขึ้นจากใจกลางเตาหลอมตรงหน้า
เกอซีตื่นตกใจรีบหลีกหลบในทันทีด้วยสัญชาตญาณ
ทว่ากลับได้ยินเสียงเจ้ามังกรตัวจิ๋วร้องตะโกนโหวกเหวกหัวเสียอยู่ลั่น ๆ “เฮ้ ! เฮ้ ! อยู่เฉย ๆ สิ ! เซ่อซ่าจริง ! นั่นคือสัญลักษณ์แห่งญาณศักดิ์สิทธิ์ เครื่องบ่งบอกการเริ่มต้นบททดสอบ จะหลบด้วยเหตุใดเล่า ? !”
หญิงสาวรีบชะงักการเคลื่อนไหว กลุ่มควันบางเบาสีเทาเจือจางหลอมรวมตัวเข้าสู่ใจกลางหว่างคิ้ว ขุมพลังอันมหาศาลพลันหลั่งไหลท่วมท้นโอบล้อมไปทั่วทั้งเรือนกาย พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่เริ่มเลือนลางเลื่อนลอย
กลุ่มควันสีเทาเจือจางยังคงหลั่งไหลโอบล้อมเตาหลอม และเรือนกายของเกอซีอย่างต่อเนื่อง มันค่อย ๆ คืบคลานครอบคลุมไปทั่วทั้งสรรพางค์กายประหนึ่งหมายจะหลอมรวมตัวนางให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มควัน
***จบตอน วังจื่อจิน***