พ้นจวนโอวหยางมาแค่เพียงไม่นาน รถม้าคันงามก็โผล่ไล่หลังตามมาอย่างรวดเร็วก่อนจะมาหยุดนิ่งขวางหน้าหญิงสาวไว้
อาชาสีขาวราวหิมะที่คุ้นตายืนเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้า มันเตะเท้าพ่นลมออกจมูกด้วยท่าทีทรนง
เกอซีเบ้ปาก และแน่นอนว่าเพียงไม่นานผ้าม่านในรถม้าก็ถูกเลิกสูงขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้าของหนานกงยวี่ผู้หล่อเหลาจนทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงต้องถึงความปั่นป่วน
“ระยะทางจากเมืองเหยียนจิงไปชานเมืองบ้านเจ้าออกจะห่างไกล ให้ข้าไปส่งซีเอ๋อจะดีกว่า”
เกอซีบอกปัดโดยไม่ต้องฉุกคิด “ใช่ว่าพวกเราจะไปทางเดียวกัน อย่าทำอันใดให้ยุ่งยากเลย !”
หนานกงยวี่คลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไปเรื่อย “ผู้ใดมิได้ไปทางเดียวกันเล่า ? เปิ่นหวางมีงานแถวเทือกเขาฉางพอดี หากซีเอ๋อไม่ยอมขึ้นมา เห็นทีเปิ่นหวางคงต้องฉุดขึ้นรถม้าเหมือนคราวก่อนกระมัง”
เส้นเลือดดำบนศีรษะของเกอซีเต้นตุ้บ ๆ ที่สุดแล้วหญิงสาวย่อมไม่อาจต่อกรบุรุษหน้าทนเยี่ยงนี้ได้ นางคงจำใจทำได้แค่เพียงกระโดดขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าที่ด้านชา
ก่อนจะขึ้นมาบนรถม้า สาวน้อยยังอดมิได้ที่จะเหลือบตาดูบุรุษผู้คุมบังเหียน
ชายผู้นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับแทนที่จะเป็นมังกรฟ้าชิงหลง กลับกลายเป็นสุภาพบุรุษผู้สะอาดพิสุทธิ์ในชุดคลุมสีขาวนวลดั่งแสงจันทรา หากจะเทียบกับชิงหลงแล้ว บุรุษผู้นี้หล่อเหลาสะดุดตากว่านัก ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ดวงหน้าสดใสมีชีวิตชีวา บุรุษผู้นี้กับชิงหลงช่างแตกต่างกันราวกับยืนอยู่คนละขั้ว
ครั้นเมื่อเห็นเกอซีเพ่งพิเคราะห์ตนเช่นนั้น ชายหนุ่มรีบเก็บอาการประหลาดใจด้วยการเผยรอยยิ้มทำให้โลกสดใสพร้อมเอ่ยทักทาย “ข้าชื่อไป๋หู่ ผู้รับใช้ส่วนตัวของนายท่าน”
เกอซีผงกศีรษะรับโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ก่อนจะกระถดกายเข้าไปในรถม้า
รอยยิ้มทักทายจางหายไปทันทีเมื่อพยัคฆ์ขาวไป๋หู่หันมาพึมพำกับตนเองด้วยความฉงน “สวรรค์ หวานใจของนายท่านเป็นบุรุษหรอกหรือนี่ ! แถมยังเป็นหนุ่มน้อยละอ่อนหน้ามนอีกด้วย มันอันใดกันนี่ !”
ในหัวของไป๋หู่นึกคิดนินทาไปสารพัดตลอดทางที่เขาเร่งฝีเท้าพุ่งม้าออกไป แค่เพียงไม่นาน เมืองเหยียนจิงก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังขณะที่เรือนโกโรโกโสของเกอซีใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
นับแต่ขึ้นมาบนรถม้า เกอซีก็หมายมั่นไว้แล้วว่าจะต้องไม่เผลอไปยั่วกระตุกอารมณ์ของหนานกงยวี่อีก หากแต่ทุกสิ่งกลับไม่เป็นดังที่คาด เมื่อตลอดการเดินทาง หนานกงยวี่กลับไม่เอ่ยวาจากับนางแม้เพียงครั้ง ราวกับว่านางไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มยังคงนั่งเปิดหน้าหนังสือเก่าแก่คร่ำคร่าอ่านขณะทิ้งกายเอนพิงลงบนเบาะนุ่ม
ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องใจเต้นระทึกด้วยความงงงวย หญิงสาวแอบเหลือบตาดูชายหนุ่มตรงหน้าอยู่หลายคราหากแต่ตลอดการเดินทางกระทั่งรถม้าชะงักฝีเท้าลงตรงหน้าเรือนของนาง หนานกงยวี่กลับยังทำทองไม่รู้ร้อนนิ่งเฉยต่อนางกระทั่งทำให้เกอซีไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
หญิงสาวกระโดดลงจากรถม้าเดินตรงมู่สู่เรือน หากแต่เมื่อหันกลับมา นางพบหนานกงยวี่ในชุดสีม่วงเหลือบแดงเดินไพล่หลังออกมาจากรถม้าย่างกรายตรงมาที่นาง ด้วยท่าทีบ่งบอกว่าเขาจะติดตามนางเข้าไปในเรือนเช่นกัน
เกอซีเลิกคิ้วขึ้น “ถึงเรือนแล้ว เจ้าส่งข้าถึงเรือนแล้ว เหตุใดจึงยังตามข้ามาเล่า ?”
หนานกงยวี่เปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสเสนาะโสต “ซีเอ๋อ พวกเรามีความสัมพันธ์ต่อกันเพียงนี้เปิ่นหวางจะผ่านเรือนของเจ้าอย่างนิ่งดูดายได้เยี่ยงไร ?”
เกอซีกัดฟันด้วยความเกรี้ยวกราด “ข้ามีความสัมพันธ์ใดกับเจ้างั้นรึ ?”
ฉับพลันร่างของหนานกงยวี่วูบผ่านเข้ามาชิดใกล้ ชายหนุ่มโน้มกายลงกระซิบที่ข้างหู “เจ้ามิรู้หรือ ? ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมใกล้ชิดแบบเนื้อแนบเนื้อ ความสัมพันธ์ทางกายแนบแน่นล้ำลึกต่อกันนั้นเป็นความสัมพันธ์ประเภทใด หรือซีเอ๋อจำไม่ได้แล้ว ?”
ครั้นเมื่อเห็นเกอซีกำลังจะบันดาลโทสะ ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ ตะล่อมเข้าหาบทสนทนาอีกประเด็น “นี่ยังมิได้กล่าวถึงเรื่องที่ข้าต้องเหน็ดหนื่อยหาทางเปิดจุดตันเถียนให้เจ้าด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าแม้แค่เพียงข้าขอรับมัดจำไว้ก่อนก็ยังมิได้ ?”
ทันทีที่หัวข้อการพูดคุยพาดพิงไปถึงการเปิดจุดตันเถียน เกอซีกลับนิ่งค้างไปทันทีโดยมิอาจต่อปากต่อคำดึงดันสิ่งใดได้อีก
***จบตอน ความสัมพันธ์ชิดใกล้***