หนานกงยวี่ก้มแลดูพวกมันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ลูกนัยน์ตาแดงก่ำแสดงชัดถึงสายเส้นโลหิตฝอยที่เพ่งมองมานั้นให้ความรู้สึกที่เย็นยะเยียบเหน็บหนาว “พูด ! หากเจ้าบอกมาว่าผู้ใดคือผู้บงการ ข้าจะยอมละเว้นมือสังหารจากองค์กรปีศาจสยบแดนดินของพวกเจ้า”
คำกล่าวเช่นนี้ย่อมบ่งบอกความนัยว่าเขาหมายจะลงมือถล่มมือสังหารจากองค์กรปีศาจสยบแดนดินให้พินาศหากพวกมันไม่ยอมเผยความจริงทั้งหมดออกมา !
สีหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความหวังของหัวหน้ามือสังหารพลันยับย่นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับบุรุษหนุ่มผู้ทรงความแข็งแกร่งอย่างมิอาจขัดขืนต้านทาน เขาย่อมไม่อาจหาญกล้าพอที่จะต่อต้าน “เรา…..พวกเราล้วนสุดปัญญาจะล่วงรู้ได้ว่าผู้ใดสั่งมอบภารกิจนี้มา ภารกิจที่องค์กรปีศาจสยบแดนดินรับนั้นล้วนทำการตกลงกันภายในตลาดมืด เราเพียงรับเงินโดยไม่ซักไซ้ไถ่ถามถึงสิ่งใด”
“เป็นเช่นนี้เอง…….” มุมปากของหนานกงยวี่หยักยกขึ้นเป็นรอยแย้มยิ้มอันชั่วร้าย
“เช่นนั้นการมีอยู่ของพวกเจ้าล้วนไม่จำเป็นอีกต่อไป”
แทบยังไม่ทันสิ้นสุดคำกล่าว พลังแสงสว่างไสวพลันก่อรวมตัวกันขึ้นในใจกลางฝ่ามือซ้าย
มือสังหารที่คุกเข่าอยู่กับปลายเท้าหนานกงยวี่ร้องลั่นออกมาด้วยความหวาดกลัว มันหมายจะเร่งรุดหาหนทางหลีกหนี ทว่ากลับยังไม่ทันได้ขยับแม้เพียงก้าว ปราณพลังแสงลูกนั้นก็ตรงเข้าโอบล้อมร่างของมันรวมไปถึงมือสังหารอีกผู้หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
ทั่วทั้งร่างของมันราวกับถูกเจาะทะลวงด้วยบางสิ่ง ผิวเนื้อตลอดทั่วกายเริ่มบวมปูดเป่งเป็นลูกไปทั่ว
“อ๊าก อ๊าก อ๊าก อ๊าก—- ! !” พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนครวญครางก่อนร่างนั้นจะฉีกกระจุยแหลกละเอียดโลหิตสาดกระจายชิ้นกระดูกแตกกระเซ็นเกลื่อนตา
ถึงกระนั้นปราณพลังแสงกลับยังไม่สิ้นสุดแรงกำลังแห่งการทำลายล้าง มันยังคงแผดเผาหยาดโลหิตและซากเศษกระดูกด้วยเปลวเพลงสีน้ำเงินอ่อนกระทั่งทุกสิ่งถูกกัดกร่อน คงเหลือแค่เพียงเศษเถ้าถ่าน ปราณพลังนั้นจึงค่อย ๆ เลือนสลายหายไปโดยไม่หลงเหลือทิ้งไว้แม้เพียงร่องรอยแห่งการมีอยู่ของมัน
หนานกงยวี่เหลือบแลดูสายลมพัดโชยนำเอาละอองเถ้าแห่งสองมือสังหารลอยปะปนฟุ้งกระจายไปกับท้องนภาด้วยอาการชายหางตาพลางยิ้มเยาะ ก่อนจะตรงเข้ามาช้อนร่างของเกอซีเหาะเหินกลับไปยังตำหนักราชันมัจจุราชอย่างไม่รอช้า
****
ตำหนักราชันมัจจุราช
ชิงหลง ไป๋หู่ และจูเฉวี่ยต่างยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าพระตำหนัก แต่ละคนทอดสายตาผ่านไปยังท้องนภาที่กว้างใหญ่ด้วยสีหน้าหวั่นวิตกครั้งแล้วครั้งเล่า
ไป๋หู่บ่นพึมพำไม่หยุดปากด้วยความร้อนใจ “ใกล้ถึงเวลาแล้ว อาการป่วยของนายท่านกำลังจะกำเริบแล้ว เหตุใดนายท่านยังดันทุรังจะออกไปอีก ? จนป่านนี้แล้วเหตุใดจึงยังไม่กลับมา ?”
ยามนี้ จูเฉวี่ยที่ยืนอยู่ด้วยกันมีผ้าคลุมใบหน้าปกปิดรอยแผลเป็นที่สะดุดตาไว้อย่างมิดชิด
ในสายตาแฝงไว้ด้วยห่วงกังวลเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยกล่าว “ชิงหลง รู้ไหมว่าเหตุใดวันนี้นายท่านต้องรีบร้อนออกไปทั้งที่กำลังอยู่ในระหว่างกักตนเช่นนี้ด้วย ?”
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อเปิดผนึกจุดตันเถียนให้แก่ท่านหมออัจฉริยะซี ซีเย่ว !
ชิงหลงย่อมรู้ดีว่าในวันนี้นายท่านของเขาออกไปด้วยความมุ่งหมายใด และตัวเขาย่อมไม่เห็นพ้องด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพียงทว่า นายท่านเมื่อไรย่อมยังคงเป็นนายท่าน เมื่อนายท่านถ่ายทอดคำสั่งออกมาแล้วย่อมไร้ประโยชน์จะกล่าวคำใด แม้ชิงหลงจะร้อนใจสักเพียงไหนเขาก็ไม่เคยเอ่ยสิ่งใดหากไม่ได้รับอนุญาต
เขานิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้น ปฏิเสธที่จะโต้ตอบให้กับคำถามใด ในเรื่องนี้ทั้งไป๋หู่ และจูเฉวี่ยล้วนไม่แปลกประหลาดใจ
ทว่าหลังจากเฝ้าแหงนมองผ่านฟากฟ้ามาเนิ่นนานกระทั่งทั่วทั้งใบหน้าหม่นมัวไปด้วยความขุ่นข้อง ริมฝีปากของเขาจึงเริ่มขยับ “ไป๋หู่ จูเฉวี่ย หากการมีอยู่ของคนผู้หนึ่งจะเป็นภัยต่อนายท่าน ทว่านายท่านกลับไม่ลังเลแม้เพียงน้อยที่จะออกรับปกป้องคนผู้นั้น เจ้า…..เป็นเจ้าจะทำเช่นไร ?”
ไป๋หู่ตอบได้ทันที “ความปรารถนาของนายท่านย่อมเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด !”
ขณะที่คำตอบของจูเฉวี่ยกลับกลายเป็น “เจ้าคนต่ำค่าที่บังอาจมาคุกคามนายท่านมันสมควรตายยิ่งแล้ว !”
ทั้งสองตอบกลับมาแทบจะพร้อมเพรียง ทันทีที่กล่าวจบทั้งคู่หันมองสบตากันด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนระคนแปลกใจ กระทั่งคิ้วทั้งคู่ของชิงหลงขมวดมุ่นบนใบหน้าที่ยุ่งย่น
ฉับพลันสีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาร้องตะโกนออกมา “นายท่านกลับมาแล้ว !”
ครู่ถัดมา หนานกงยวี่เหินร่อนลงมาจากท้องนภา ผืนอาภรณ์โบกสะบัดพริ้วยามเมื่อร่างของเขาค่อย ๆ หย่อนลงสู่ซุ้มประตูใหญ่หน้าตำหนักราชันมัจจุราช
ทันทีที่ชิงหลงเร่งรุดเข้ามาต้อนรับก็สะดุดเข้ากับร่างชุ่มโลหิตในอ้อมแขนของนายท่าน เพียงเท่านั้นดวงตาทั้งคู่ของเขากลับเบิกโพลง “นายท่าน….นี่…..นี่คือท่านหมออัจฉริยะซีเย่วหรือ ? !”
***จบตอน ทำลายล้าง***