ชิงหลงยังกริ่งเกรงว่าหากนายท่านรู้สึกตัวตื่นทว่าไม่เห็นหน้าพระชายา อาจเป็นเขาที่ต้องถูกนายท่านกระทืบเจียนตาย !
ครั้นเมื่อเกอซีเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ทันทีว่าการออกจากตำหนักแห่งนี้ในยามนี้เป็นสิ่งที่มิอาจเป็นไปได้เสียแล้ว
ยังอีกทั้งการที่หนานกงยวี่ต้องอยู่ในสภาพนี้ล้วนสืบเนื่องมาจากนางทั้งสิ้น ยังมีนางรับคำมั่นไว้กับเขาแล้วว่าจะไม่จากไป เช่นนั้น ย่อมสมควรรั้งอยู่ที่นี่
เกอซีขบคิดชั่วครู่ก่อนจะปริปากเอ่ย “ที่นี่มีห้องปรุงโอสถหรือไม่ ?”
“ย่อมมี พระชายา เหตุที่ท่านถามหาห้องปรุงโอสถนั้นคือ…. ?”
พระชายาเคยกล่าวว่านางกลั่นโอสถไม่เป็นไม่ใช่หรือ ?
“นำข้าไป ครานี้ข้าจะอยู่ที่ห้องปรุงโอสถ หากเกิดเรื่องใดขึ้นเจ้าไปตามตัวข้าที่นั่นได้ทุกเมื่อ”
แม้จะยังรู้สึกฉงน ทว่าชิงหลงยังคงโค้งศีรษะน้อมรับคำสั่ง ไม่ว่านางจะต้องการกระทำสิ่งใด หรือแม้กระทั่งอยากพังตำหนักราชันมัจจุราชลงเสีย ล้วนสามารถกระทำได้ทั้งสิ้น ตราบเท่าที่พระชายายินยอมรั้งอยู่ ณ ที่นี้
*****
ห้องปรุงโอสถแห่งตำหนักราชันมัจจุราชนั้นได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมอย่างที่สุด ภายในห้องพรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องมือทุกชนิดอันเป็นสิ่งจำต้องใช้
ภายในห้องขนาดด้านละ 10 จ้าง* เต็มไปด้วยอักขระจารึกสลักอยู่บนผนังเพื่อช่วยเก็บรักษากระแสพลังให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ ชั้นเก็บของที่ประกอบขึ้นจากวัสดุชนิดพิเศษถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบตามมุมห้อง พฤกษาเวท และดวงสัตว์เทพอสูรถูกจัดวางไว้บนชั้นโดยที่ขุมพลังทั้งหลายล้วนไม่กระจายถ่ายเทออกไปเลย
*10 จ้างคือ 20 เมตร
ใจกลางห้องคือเตาหลอมกลั่นโอสถสีเทาทรงกลมซึ่งมีความสูงประมาณเท่าหนึ่งช่วงตัวมนุษย์ อักขระยันต์ถูกสลักตราลงไว้โดยตลอดทั่วทั้งใบ ในตำราสรรพโอสถอันหลั่งล้น เกอซีเคยอ่านผ่านตาว่ายันต์เหล่านี้คือมนตราบทพิเศษที่สามารถช่วยรวบรวมขุมพลังทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่นโอสถ ยิ่งเมื่อเตาหลอมโอสถอยู่ในระดับสูงคุณภาพมากเท่าไรมนตราก็ยิ่งทรงพลังทั้งปรากฏความซับซ้อนยิ่งขึ้น
ด้านล่างรองด้วยแผ่นปูที่เรียงรายอยู่โดยรอบเตาหลอม โต๊ะตัวยาวพร้อมเตียงนอนตัวหนึ่งตั้งติดชิดผนังอีกด้าน เพื่อให้ผู้กลั่นโอสถสามารถเอนกายลงพักในระหว่างการปรุงโอสถ
ตั้งแต่เกอซีได้มาเหยียบเยือนตำหนักราชันมัจจุราชนางก็หมายมั่นกระหายจะฝึกกลั่นโอสถตามตำราสรรพโอสถอันหลั่งล้น น่าเสียดายที่ในเรือนน้อยของนางปรุงโอสถไม่ถนัดนักอีกทั้งนางยังไม่มีเตาหลอมโอสถ เช่นนั้นเมื่อต้องรั้งอยู่ที่นี่เกอซีจึงหมายจะหยิบยืมใช้ห้องปรุงโอสถในตำหนักราชันมัจจุราช
เกอซีเริ่มเดินพลังปราณในกายทีละน้อยตามขั้นตอนที่บันทึกไว้ในตำราสรรพโอสถอันหลั่งล้น นางค่อย ๆรวบรวมพลังปราณเพลิงในกายขึ้นทีละน้อย กระทั่งขุมพลังสีทองจากปราณเพลิงปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว
ทันทีที่ปราณเพลิงพุ่งเข้าสู่เตาหลอมโอสถ มนตรารอบเตาหลอมซึ่งทำหน้าที่รวบรวมขุมพลังค่อย ๆ เปล่งแสงอย่างต่อเนื่องกระทั่งเตาหลอมโอสถทั้งใบส่องสว่างเรืองรอง
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก ราวกับการรวบรวมพลังปราณเพลิงแค่เพียงครั้งเสมือนหนึ่งสูบกลืนพลังวิญญาณทั่วร่างของนางไปสิ้นกระทั่งเกอซีต้องยกทิพย์วารีขวดใหญ่ขึ้นดื่มเพื่อชดเชยพลังปราณที่สูญเสียไป
เมื่อนึกถึงระยะเวลา และพลังปราณที่ถูกใช้ไปเพียงเพื่อจะรวบรวมปราณเพลิงขึ้นมาหญิงสาวก็เริ่มกังวลใจ พลังปราณเพลิงน้อยนิดแค่เพียงนี้คงสามารถกลั่นโอสถได้แค่เพียงไม่กี่เม็ด ทั้งมากสุดคงกลั่นได้แค่เพียงโอสถซึ่งมีคุณภาพระดับสองเท่านั้น
ทว่าเกอซีหาได้ล่วงรู้ไม่ว่า หากแพทย์ท่านอื่นได้มาเห็นการกระทำของนางจะต้องตะลึงจนนัยน์ตาแทบจะถลนออกจากเบ้า !
ผู้ฝึกยุทธที่สามารถรวบรวมพลังปราณเพลิงที่ใช้สำหรับการกลั่นโอสถได้นั้นจำต้องมีพลังปราณถึงขั้นที่ 4 ปฐพีสะท้านสะเทือน ! ส่วนผู้ที่พลังฝีมือด้อยกว่านั้นจำต้องอาศัยพลังปราณเพลิงที่หยิบยืมใช้จากธรรมชาติ
ทว่าพลังยุทธของเกอซีในยามนี้อยู่ในระดับขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 2 ปฐมภูมิโลกันตร์ หากทว่านางกลับสามารถควบรวมพลังปราณเพลิงออกใช้ได้ !
ไม่เพียงแค่นั้น พลังปราณเพลิงที่นางควบรวมออกมาได้มิได้มีสีแดงคล้ำดังเช่นปกติทั่วไป หาแต่เป็นสีทองอร่ามบ่งแสดงถึงคุณสมบัติอันล้ำเลิศอีกด้วย
นับเป็นการปฏิวัติหลักการกลั่นโอสถชั้นสูงในแถบทวีปหมีหลัวเลยทีเดียว !
น่าเสียดายที่เกอซีหาได้ตระหนักในความจริงข้อนี้ไม่ เหตุย่อมสืบเนื่องมาจากความรู้ทั้งหมดของนางล้วนได้มาจากตำราสรรพโอสถอันหลั่งล้นซึ่งท่านผู้เฒ่าซูมี่ได้ทิ้งไว้ให้ นางก็แค่เพียงลงมือกระทำตามขั้นตอนที่บันทึกไว้ดังสิ่งอันพึงกระทำตามปกติวิสัยทั่วไป เกอซีจะรู้ได้อย่างไรว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้จะสั่นสะเทือนทั่วพิภพได้มากมายถึงเพียงนี้
หลังจากพักเสริมพลังปราณให้ตนเองแล้ว หญิงสาวนำสมุนไพรเวทที่นางตระเตรียมไว้ตามตำรา ออกมาจากมิติเวท จากนั้นจึงถ่ายเทกระแสพลังห่อหุ้มมันไว้ก่อนจะหย่อนลงไปในเตาหลอมโอสถ
***จบตอน ฝึกกลั่นโอสถ***