เกอซีไม่ยอมหยุดพัก กลับกันนางตวัดแส้กระดูกขาวในมือทะยานขึ้นฟ้ากระโจนเข้าหาเพิ่งเหลียนยิ่งด้วยท่วงท่าอันงดงาม
เฟิ่งเหลียนอิงผู้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นตระหนก และชิงชังพลันรู้สึกตัวในทันที ประกายตาทั้งคู่แฝงอายกระแสสังหารที่เข้มข้น
“สารเลว ฝีมือกระจอกเพียงนี้คิดลอบทําร้ายข้างั้นรึ ? ฝันไปเถิด !”
กล่าวจบ กระบี่สิบสองเล่มพลันปรากฏขึ้นในมือพร้อมพุ่งทะยานดิ่งหาแส้กระดูกขาว เมื่ออาวุธทั้งสองประสานงา แส้กระดูกขาวถูกสับละเอียดแหลกเป็นข้อนิ้วชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายใต้ การกวัดแกว่งของแผงกระบี่ ท่อนกระดูกที่ถูกบั่นทอนร่วงกราวหล่นลงพื้นประดุจตัวหนอนที่เลื้อยคลาน
ขณะที่ร่างของเกอซีถูกฉุดกระชากเข้าหาเพิ่งเหลียนยิ่งอย่างไร้ความปรานี ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างยกพุ่งตรงอัดเข้าใส่ช่วงอกเกอซีอย่างหนักหน่วงร้ายกาจ
ทว่าทันทีที่ขุมพลังกําลังพุ่งอัดเข้าหาเกอซีกลับบ่ายหลบ ร่างของหญิงสาวปลิวกระเด็นลอยขึ้นกลางเวหาก่อนจะร่วงหล่นกระอักโลหิตออกมาคําโต
แม้เพิ่งเหลียนยิ่งจะพลาดจุดตายของเกอซี กระนั้นนางยังสามารถข่มขวัญอีกฝ่ายด้วยการปั่นป่วนกระแสพลังภายใน ทํา ลือดในกายให้เดือดพล่าน ทําลายอวัยวะภายในทั้งห้าของเกอซีด้วยพลังปราณอันสูงส่ง
รอยยิ้มหยันแห่งความจงเกลียดจงชัง ความเคียดแค้น ทั้งหมิ่นหยามเผยผ่านขึ้นบนดวงหน้าของเพิ่งเหลียนยิ่ง ยามนี้บาดแผลบริเวณช่องท้องเริ่มรักษาตัวบรรเทาอาการไปมาก หญิงสาวยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าก้มมองดูเกอซีผู้ทรุดร่างกองกับพื้นด้วยสายตาเหยียดหยาม “แม้เจ้าจะพยายามดิ้นรน สุดกําลังเพียงไร เจ้ายังคงเป็นเพียงตกแตนที่หมายหยุดยั้งราชรถ คิดหรือว่าเพียงพลังฝีมือกระจอกเยี่ยงนี้ คนอย่างเจ้าจะสามารถทําร้ายข้าได้จริง ?”
“เจ้าคิดว่าที่ข้ายอมสละแส้กระดูกขาว ยอมเสี่ยงตายให้เจ้า ทําร้ายล้วนเป็นไปเพียงเพื่อหาโอกาสโจมตีเจ้า ?” มุมปากของเกอซียกโค้งแฝงความเยาะหยันยามเมื่อนางขยายความ “เพิ่งเหลียนอิ่งหรือกระทั่งยามนี้เจ้ากลับยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดบนบาดแผลในร่างเจ้า ?”
อีกฝ่ายพลันตื่นตระหนกรีบก้มลงสํารวจปากแผลใน ช่องท้องด้วยสายตาแทบไม่อยากเชื่อ จึงเห็นบางสิ่งซึ่งด่างดํา เริ่มเกาะรวมตัวกันรอบปากแผลน้ำเสียงหยิ่งผยองจองหอง เมื่อครู่กลับกลายสันเทาด้วยความตื่นผวา “เจ้า….เจ้าทําอะ ไรกับข้า ?”
เกอซีกุมหัวไหล่ซ้ายที่แข็งค้างประคองกายลุกขึ้นพร้อม เสียงหัวเราะที่เย็นชา “ข้าเพียงหยดโอสถพิษน่าสนุกให้แก่เจ้า…. เดิมทีพิษร้ายชนิดนี้ย่อมไร้ผลต่อผู้ฝึกยุทธปราณปฐพีสะท้านสะเทือนเยี่ยงเจ้า เพียงรับยาถอนพิษอาการเจ็บปวดทรมาน และพิษร้ายล้วนถูกกําจัดลงอย่างง่ายดาย หากทว่าเมื่อครู เทพธิดาบัวเยือกแข็ง ภายในใจของเจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเคียดแค้นริษยาและสิ่งนั้นกลับกลายเป็นการผลักดันให้พิษร้ายกําซาบลงสู่จุดตันเถียนก่อนจะเริ่มแพร่กระจายไปตลอดทั่วเส้นชีพจรปราณในร่างเจ้า ยามนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า ?”
“เป็นไปไม่ได้ ! พิษของเจ้าจะทําร้ายข้าได้อย่างไร ?” ความประหม่าหวั่นกลัวถึงขีดสุดฉายวาบผ่านดวงหน้าของเฟิ่งเหลียนอิง
พึงทราบว่าในหมู่บรรดาผู้ฝึกยุทธขั้นปราณปฐพี่สะท้านสะเทือนล้วนมีภูมิคุ้มกันต่อต้านพิษร้าย เว้นไว้เสียเฉพาะผงพิษร้ายขั้นสูงส่งเช่น พิษกล้วยไม้งูพิษทะลวงซึ่งกลั่นปรุงขึ้นโดยยอดฝีมือพลังปราณขั้นสูง หาไม่แล้วร่างของผู้ฝึกยุทธขั้นปราณปฐพีสะท้านสะเทือนล้วนมีความสามารถในการขับพิษร้ายออกได้ เองโดยธรรมชาติ
ทว่ายามนี้ สภาพผิวเนื้อของเพิ่งเหลียนยิ่งเริ่มปรากฏ สัญญาณการต้องพิษ ขุมพลังที่โคจรภาย ในกายเริ่มเคลื่อนเชื่องช้า ! เจ้าหนุ่มเหลือขอผู้นี้เป็นเพียงสวะปราณขั้นปฐมภูมิโลกันตร์ ทั้งมีวัยเพียงสิบหกหรือสิบแปดปี มันจะสามารถกลั่นพิษร้ายกาจดังเช่น กล้วยไม้งพิษทะลวงได้อย่างไรกัน ?
กระบี่ด้ามยาวปรากฏขึ้นในมือของเพิ่งเหลียนยิ่งอีกครา นางแผดเสียงชี้ปลายกระบี่ใส่หน้าเกอซี “ชั่วช้า ! หากเจ้ายัง ไม่อยากตายก็รีบมอบยาถอนพิษออกมาเดี๋ยวนี้ !”
แม้สีหน้าของเกอซียังคงซีดเผือด น้ำเสียงยังคงอ่อนแรง หากทว่าดวงหน้านั้นยังคงประดับไว้ด้วยอาการเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ย่อมสมควรเป็นข้าที่กล่าววาจานั้น หากเจ้าต้องการให้ข้ามอบยาถอนพิษนั้นย่อมได้ ! คุกเข่าโขกศีรษะขมาต่อข้า
“ดี! คิดหรือว่าเพียงพิษกระจอก ๆ นี่จะทําให้เทพธิดาผู้นี้ต้องครั่นคร้าม ?”
สีหน้าของเพิ่งเหลียนยิ่งผิดแปลกไป เม็ดโอสถสีแดงคล้ำ ปรากฏขึ้นกลางอุ้งมือในทันที
เพียงเม็ดโอสถถูกควักขึ้น กลิ่นหอมอ่อนละมุนก็ฟังกําจายไปทั่ว แม้เพียงกลิ่นหอมอ่อนโชยระผ่านจมูก ย่อมสามารถปลุกเร้าขุมพลังในกายทุกผู้คนให้ตื่นตัวพลุ่งพล่าน