หนานกงยวี่หัวเราะออกมาเบา ๆ “หากข้าคาดเดาไม่ผิดจุดตันเถียนของเจ้านั้นอยู่ในสภาพที่ถูกผนึกไว้นานแล้ว การผนึกนี้นับว่าลึกลับอีกทั้งยังทรงพลังยิ่งนัก กระทั่งตัวข้าเองยังไม่อาจยืนยันแน่ชัดได้ว่านี่เป็นวิธีการโบราณกาลในรูปแบบใด เช่นนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่น่าหลานเจิ้งเจ๋อไม่อาจรู้ได้เช่นกัน”
นัยน์ตาของเกอซีส่งประกายวาบขึ้นหญิงสาวเอนกายไปด้านหลังโดยที่หลงลืมความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อหนานกงยวี่เมื่อครู่เสียสนิท “เจ้าบอกว่ามีหนทางเปิดผนึกจุดตันเถียนของข้ากระนั้นหรือ ? หากผนึกถูกคลายออกได้จริงข้าจะสามารถฝึกฝนพลังยุทธดังเช่นผู้อื่นได้ใช่หรือไม่ ?”
กลิ่นหอมอ่อน ๆ พัดโชยมาจากเรือนร่างของหญิงสาว ความหอมกรุ่นบางเบาแตะปลายจมูกหนานกงยวี่ทำให้ประกายตาที่ร้อนแรงของชายหนุ่มยิ่งดูแจ่มจรัสเรืองรอง
เขาหวนรำลึกถึงหญิงสาวผู้เหี้ยมโหดในหอรื่นรมย์ บทลงทัณฑ์ที่หนักหนาแห่งจวนสกุลจู เล่ห์เหลี่ยมที่แพรวพราว เสน่ห์ที่รัดรึงเย้ายวนสายตาท่ามกลางแสงเทียน อีกทั้งยังมีแววตาที่มุ่งมั่นน่าหลงใหลยามเมื่อหมายมุ่งรักษาลมหายใจให้แก่ผู้คน
สตรีผู้นี้กับเขาช่างมีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกันยิ่งนักหากแต่นางนับเป็นผู้ที่มีบุคลิกแปลกแยกโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด ไม่ว่าจะความอำมหิตดิบเถื่อนเผด็จการล้วนทำให้เขารู้สึกชื่นชมในตัวสตรีผู้นี้อย่างยิ่ง มันช่างโหมกระพือแรงปรารถนาให้เขาหมายจะกักขังสาวน้อยร่างบางนางนี้ไว้เคียงกายตนตลอดไป
หนานกงยวี่เหยียดยื่นท่อนแขนออกไป ปลายนิ้วเรียวค่อยบรรจงลูบไล้ไปตามขนตายาวงอนงามของหญิงสาว น้ำเสียงห้าวลึกทุ้มต่ำเปล่งออกไป “รุ่งเช้ายามซื่อ* ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่เพื่อพาเจ้าไปหาสิ่งที่จะช่วยให้เจ้าสามารถคลายผนึกออกได้”
ยามซื่อ คือ 9.00-11.00 น.
ความนัยที่แฝงไว้ในคำพูดที่เรียบง่ายทำให้ดวงตาของเกอซีเปล่งประกาย ท่ามกลางสายตาของหญิงสาว บุรุษผู้ก้มศีรษะลงต่ำเพื่อจับจ้องมองนางได้หายลับไปโดยไม่เหลือร่องรอยใดไว้
กลิ่นหอมฟุ้งกำจายทั่วห้องที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของบุรุษผู้นั้นค่อย ๆ เลือนหายตามไป คงเหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำชาที่ตั้งทิ้งไว้จนเย็นชืด
หากมิใช่ด้วยเพราะอายอุ่นที่ยังคงติดค้างบนปลายขนตางอนงามนี้เกอซีจะต้องเชื่อว่าตนเองกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันมายาเป็นแน่
เจ้าวายร้าย ยังไม่ทันกล่าวคำให้กระจ่างก็หนีไปเสียแล้ว ! หรือเขาถือว่าพลังยุทธของตนสูงส่งหาผู้ใดเทียบเทียมได้เช่นนั้นสิ ?
เกอซียืนกัดฟันแน่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจากไปด้วยความขุ่นเคืองโดยไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าฉิงหลงผู้ยืนจับจ้องแลดูสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอดกำลังได้รับความบีบคั้นทางจิตใจอย่างรุนแรงจากอาการตกตะลึง
ปิ่นปักผมหยกบนศีรษะของหนุ่มน้อยผู้นี้ เขาสัมผัสรับรู้ได้ถึงอายพลังปราณอันบริสุทธิ์จากอาคมประทับรอย อายกระแสพลังปราณเช่นนี้เป็นของนายท่านแน่แล้ว ทว่ามิใช่ว่าพระองค์ไม่ชอบให้อายพลังของตนต้องแปดเปื้อนไปกับผู้อื่นกระนั้นหรือ ?
หนุ่มน้อย…..หนุ่มน้อยผู้นี้กับนายท่าน แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นใดต่อกันแน่ ?
ย่ำสนธยาแสงอาทิตย์อัสดงผ่านพ้น ม่านรัตติกาลแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนนภา
ยามนี้แสงเทียนยังคงส่องสว่างให้เห็นความหรูหราอลังการในเรือนนอกเมืองที่ตั้งอยู่ไกลห่างจากหมู่ชน
ภายใต้เปลวเทียนชายชราผู้สง่างามภูมิฐานยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ เขากำลังก้มกายลงสำรวจซากร่างที่อยู่ตรงหน้า ข้างกายเฒ่าชราผู้นี้คือชายวัยกลางคนผู้อยู่ในอาภรณ์สีเทาหม่น ท่วงท่าของชายวัยกลางคนเปี่ยมไปด้วยความเคารพนบนอบ ทว่าสีหน้านั้นกลับหาได้มีความหวาดกลัวใด ๆ ยามเมื่อจับจ้องมองดูท่านผู้เฒ่าเบื้องหน้า
หากเกอซีอยู่ร่วมในที่นี้ เพียงปรายตามองแค่ครั้งหญิงสาวย่อมต้องสามารถจดจำคนผู้นี้ได้ในทันที ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีเทาผู้นี้คือท่านหมอเซียผู้มีเรื่องกับนางเมื่อตอนกลางวันนี้นั่นเอง
ส่วนซากศพที่นอนอยู่ที่พื้นคือชายชุดดำที่สะกดรอยติดตามนางมากระทั่งถูกหนานกงยวี่อัดพลังทำลายอวัยวะสำคัญและเส้นโลหิตหล่อเลี้ยงหัวใจจากระยะที่ไกลห่าง
ชายชราพินิจซากศพอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง “พลังฝีมือของคนผู้นี้สูงส่งยิ่งนัก อีกทั้งยังสูงส่งยิ่งไปกว่าข้าผู้นี้ มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างไหม ?”
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าว ท่านหมอเซียส่ายศีรษะไปมา “เมื่อคนของเราไปพบหวางฟู่ก็ตายเสียแล้ว ที่น่าแปลกนั้นคือเขาสิ้นลมอยู่ไม่ไกลจากโรงโอสถจีเชิงเท่าไรนักหากแต่กลับไม่มีวี่แววหรือเบาะแสใด ๆ เลย”
ผู้ชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นไปได้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นคือผู้ที่ลงมือสังหารเขา ?”
“เป็นไปไม่ได้ !” ท่านหมอเซียคำรามออกมา ใบหน้าที่ให้ความเคารพพลันแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งจากความชิงชัง “ข้าไม่รู้สึกถึงกระแสพลังปราณใด ๆ จากร่างเด็กคนนั้นเลย แม้กระทั่งในยามลงมือรักษาพลังปราณของเด็กคนนั้นก็ไม่ปรากฏ อาวุโสเจียงข้ากล้ารับประกันได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเพียงมนุษย์สามัญผู้ไร้สิ้นพลังยุทธ”
***จบตอน สภาพที่ถูกผนึก***