“พระราชวังซูมี่ สถานที่อันเป็นที่รู้จักในนาม ตำหนักมั่นโถวเสิ่นซึ่งถูกก่อร่างสร้างขึ้นโดยท่านปรมาจารย์ซูมี่ผู้หยั่งรู้ ดินแดนอันประกอบรวมขึ้นจากสรรพสิ่งอันเปี่ยมอุดมไปด้วยพลังชีวิตกระแสปราณจากทั่วทั้งโลกหล้า
สถานที่ซึ่งใช้เวลาในการหล่อหลอมควบกลั่นขุมพลังอันพิสุทธิ์ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานกระทั่งสถานที่แห่งนี้ได้กลับกลายเป็นดินแดนอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
นับแต่กาลครั้งเริ่มก่อตั้งทวีปหมีหลัวและเซียนโหลว ปรากฏข่าวลือที่แพร่สะพัดสร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งดินแดนแถบทวีป
ข่าวลือดังกล่าวนั้นคือ มันผู้ใดที่สามารถครอบครองพระราชวังซูมี่ไว้ในมือ ย่อมเสมือนคนผู้นั้นคือผู้ถือครองอาญาสวรรค์
มันผู้ใดที่ถือสิทธิ์ครองอาญาแห่งสรวงสวรรค์มันผู้นั้นย่อมสามารถบัญชาความเป็นไปทั่วทุกหย่อมหญ้าภายใต้ผืนฟ้าคราม
เช่นนั้นผู้ที่ได้รับการสืบทอดดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ย่อมมีเพียงบุคคลผู้สืบทอดเลือดเนื้อเชื้อขัยสายโลหิตอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
คนผู้นั้นจำต้องมีจิตใจอารี เสียสละเพื่อคุณประโยชน์ให้แก่มวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย หาไม่แล้ว คนผู้นั้นย่อมจักถูกอาญาสวรรค์ของตนกัดกร่อนทำลายจนสิ้นสูญ”
ภายในพระราชวังซูมี่ ประกอบด้วยตำหนักสวรรค์ทั้งเก้า แปดสิบเอ็ดบานประตูทางเข้า
ตำหนักสวรรค์ทั้งเก้าอันมีนามขนาน
ตำหนักชีวาสวรรค์, ตำหนักนิลกาฬสวรรค์, ตำหนักเขียวขจีสวรรค์, ตำหนักฟ้าอาภาสวรรค์, ตำหนักแดงรุจีสวรรค์, ตำหนักหยกพิสุทธิ์สวรรค์ ตำหนักพลอยไพลินม่วงสวรรค์, ตำหนักสวรรค์นิรันดร์, และตำหนักทิพย์เทพสวรรค์
ตำหนักสวรรค์แต่ละหลังล้วนมีบานประตูทั้งหมดเก้าบานนำไปสู่แต่ละสถานที่อันแปลกแยก ทว่าเมื่อใดที่บานประตูทั้งเก้าถูกเปิดออกโดยพร้อมเพรียงกัน เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมดจะไหลหลั่งพรั่งพรู ทุกสรรพสิ่งดำเนินสืบสาน บานประตูทั้งเก้าสลายหายสิ้นเพื่อแปรเปลี่ยนสภาพเป็นพระราชวังขึ้นแทนที่”
เกอซีจดจ่อตั้งใจศึกษาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง นางเริ่มตระหนักแล้วว่า นอกเสียจากตำหนักชีวาสวรรค์จะเป็นคลังเก็บของที่ยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดนั้นคือ ณ สถานที่แห่งนี้ยังเป็นดินแดนที่คืนวันสามารถชะลอตัวได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
เมื่อตำหนักชีวาสวรรค์คือสถานที่ซึ่งสามารถหยุดระงับความเคลื่อนไปของวันเวลาไว้ได้ ย่อมเอื้ออำนวยประโยชน์อย่างยิ่งในการเป็นเสบียงกักตุนอาหารการกิน ตำหนักสวรรค์แห่งนี้หาใช่สถานที่ส่งเสริมการฝึกฝนพลังฝีมือไม่ ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงของมันคือการเก็บรักษาความสดใหม่ของสำรับอาหารนั่นเอง
ครั้นเมื่อจะหันกลับไปอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์อีกแปดหลังที่คงเหลือ เกอซีกลับพบว่าเนื้อความทั้งหมดคล้ายถูกครอบคลุมไว้ด้วยม่านบางตาสีขาวขุ่นมัวจนไม่อาจเข้าถึงเนื้อความทั้งหมดได้ ปานประหนึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะสามารถเปิดเผยออกได้เมื่อตำหนักสวรรค์แห่งนั้นถูกคลายผนึกออกได้เท่านั้น
ทว่าจากคำกล่าวที่เอ่ยอธิบายมานี้ ย่อมสามารถคาดเดาได้ว่า ตำหนักสวรรค์แต่ละหลังล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะอันมีความแตกต่าง
ตำหนักสวรรค์แต่ละแห่งล้วนต้องเป็นสถานที่เก็บซุกซ่อนสมบัติอันล้ำค่าที่มิอาจเปิดเผย คราใดที่ตำหนักสวรรค์ถูกเปิดออก ตำลึงทอง และทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลย่อมถูกเผย สมบัติที่สะสมไว้ภายในพระราชวังแห่งนี้ย่อมเพียงพอสามารถให้คนผู้นั้นกลับกลายเป็นผู้ร่ำรวยมั่งคั่งเพียงชั่วพริบตา
ครั้นเมื่อหมดความสนใจใคร่รู้ในเรื่องราวความเป็นไปที่ยืดยาวมากมายเหล่านั้น หญิงสาวจึงวางแผ่นหยกแนะนำในขั้นต้นลง ก่อนจะหยิบแผ่นหยกบันทึกความชิ้นต่อไปขึ้นมา
แผ่นหยกบันทึกความทั้งสี่ ประกอบไปด้วยบทบันทึกสรรพชีวิตซึ่งเป็นบันทึกบรรพกาลของปรมาจารย์ซูมี่ผู้หยั่งรู้ ซึ่งบรรจุอยู่ในแผ่นหยกบันทึกความจำนวนสามชิ้น
บทบันทึกสรรพชีวิตอันกอปรไปด้วยเรื่องราวทั้งปวงอันเกี่ยวเนื่องด้วยพรรณพฤกษาเวท สัตว์เวท สมบัติเวท ตลอดถึงสรรพสิ่งน้อยใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านผู้หยั่งรู้ซูมี่เคยประสบพบพานมาตลอดช่วงชีวิต ข้อมูลทุกสิ่งถูกบรรยายไว้อย่างละเอียดละออไร้ข้อคลุมเครือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณสมบัติ แหล่งในการเสาะแสวงหา ขั้นตอนการดูแลรักษาเพื่อให้สิ่งเหล่านั้นยังคงสภาพในภาวะอันสมบูรณ์พร้อม
รวมกระทั่งเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับสมบัติล้ำค่าทุกชนิด พันธุ์วิหคซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่ง ไม่เว้นกระทั่งสัตว์แปลกประหลาดพิสดารที่มักไม่ใคร่มีผู้ใดพบพาน ข้อมูลทั้งหมดทั้งสิ้นเหล่านี้กระจ่าง และชัดเจน ในแต่ละเรื่องราวสมบูรณ์ด้วยภาพประกอบความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
สิ่งที่ประจักษ์ในยามนี้ มิใช่สมควรกล่าวว่า บทบันทึกสรรพชีวิตฉบับนี้คือตำราทางการแพทย์ย่อย ๆ ชุดหนึ่งกระนั้นหรือ ?
เกอซียังเคยห่วงกังวลว่าตนเองนับได้ว่าเป็นผู้มาใหม่ในดินแดนแห่งนี้ นางแทบจะไม่รู้จัก หรือเข้าใจสิ่งใด ๆในโลกใหม่นี้จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกหลังเขาเสียด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้ จะต้องห่วงกังวลไปไย !
ครั้นเมื่อหญิงสาวคว้าแผ่นหยกบันทึกความชิ้นสุดท้ายขึ้นมา ความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์อย่างเหลือแสนพลันปรากฏขึ้น สีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติวิสัยพลันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่สดใสงามกระจ่าง
แผ่นหยกบันทึกความชิ้นสุดท้ายคือขั้นตอนการปรุงโอสถอันมีชื่อว่า ตำราสรรพโอสถอันหลั่งล้น ซึ่งท่านผู้เฒ่าซูมี่เป็นผู้บันทึกไว้ด้วยตนเอง ตำราชุดนี้ย่อมบ่งบอกอธิบายขั้นตอนการปรุงโอสถอันล้ำค่าไว้ทุกแขนง
ในอดีตภพ เกอซีนับเป็นแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์สูงส่ง เช่นนั้นทันทีที่นางได้มาเหยียบเยือนดินแดนแห่งโลกยุทธภพอันแปลกประหลาดแห่งนี้ นางย่อมสนใจศึกษาเรื่องราวการกลั่นโอสถในโลกพลังยุทธแห่งนี้
ทว่าช่างโชคร้ายยิ่งนักที่ในทวีปหมีหลัว วิชาชีพทางการแพทย์นับเป็นอาชีพที่นับได้ว่ามีข้อจำกัดอย่างมากจึงทำให้เกิดภาวะที่ขาดแคลนแพทย์ที่แท้จริง
ความรู้ด้านการปรุงโอสถถือเป็นสุดยอดความลับซึ่งจะตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นเฉพาะคนในตระกูลหรือเป็นการถ่ายทอดจากอาจารย์สู่บรรดาศิษย์ของตนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ตามท้องตลาดทั่วไปล้วนสามารถพบเจอแค่เพียงตำราปรุงโอสถเบื้องต้นซึ่งนับได้ว่าเป็นเพียงสิ่งอันไร้ค่าเท่านั้น
เมื่อแผ่นหยกบันทึกความประกอบด้วยเรื่องราวแห่งการปรุงโอสถ ซึ่งมีรายละเอียดทุกประการเกี่ยวกับส่วนประกอบโอสถ ตัวยา ขั้นตอนการกลั่นปรุง
ตัวยาที่มีคุณสมบัติเข้ากันทำงานสอดประสาน วิธีการประสม และการจับคู่องค์ประกอบโอสถ ตลอดถึงตัวยาที่เป็นปฏิปักษ์มีคุณสมบัติในการล้าง และต่อต้านกัน กระทั่งขั้นตอนการหลอมกลั่น และการควบคุมอุณหภูมิ เช่นนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่ ทันทีที่เกอซีเห็นแผ่นหยกบันทึกความชิ้นนี้ หญิงสาวจึงเอ่ยอุทานออกมาด้วยความยินดี
“ท่านแม่ ต้านต้านหิวแล้ว ท่านแม่เอาเจ้าไข่ไบนี้ไปปิ้งให้ต้านต้านกินได้ไหม ?”
เกอซีผู้กำลังจ่อมจมอยู่กับตำราสรรพโอสถอันหลั่งล้นจำต้องหันกลับมาให้ความสนใจในน้ำเสียงที่เร่งเร้าของอีกฝ่ายด้วยความฝืนใจอย่างยากเย็นยิ่ง
ทว่าทันทีที่บ่ายหน้ากลับมา และได้เห็นต้านต้านกำลังถือบางสิ่งซึ่งมีลักษณะกลมเกลี้ยงไว้ในมือ เส้นเลือดดำบนหน้าผากของนางกลับปูดโปนขึ้นอย่างมิอาจยับยั้งใจ นั่นมิใช่เจ้าไข่นิรนามที่อยู่ในหีบหยกล่ะหรือ ?
“ห้ามกินไข่ใบนั้นเด็ดขาด ! ข้าจะไปหาอาหารให้เจ้าเดี๋ยวนี้ อยู่ที่นี่ ทำตัวเป็นเด็กดี ดูแลไข่ใบนั้นไว้ให้ดีด้วย หากเจ้ากล้าเขมือบไข่นั่นก็อย่าหมายจะได้กินอะไรจากข้าอีก !”
***จบตอน ดอกผลชุดใหม่***