ผู้ที่ลงฝ่าเท้าเตะส่งเขาออกไปนั้นคือหนึ่งในผู้มีฝีมือแห่งจางเลอบ่อนเสี่ยงโชคขนาดใหญ่ แม้ว่าระดับพลังฝีมือของจางเต๋อจงจะอยู่ในขั้นที่สามของกำลังปราณชั้นเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มแล้วก็ตามที มันย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษถึงเจ็ดแปดนายเหล่านี้ เช่นนั้นยามนี้มันจึงร้องโอดโอยโหยหวนคร่ำครวญเมื่อถูกรุมกระทืบไม่ยั้งก่อนจะถูกจับโยนออกไปราวกับกระสอบทราย
“ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน จงรีบนำเงินหนึ่งพันตำลึงพร้อมดอกเบี้ยที่ยังติดค้างไว้มาชดใช้คืนให้หมดสิ้น หาไม่แล้ว ฮึ่ม…. อย่าได้คิดว่าเจ้าจะสามารถลอยหน้าอยู่ในเมืองเหยียนจิงนี้ได้อีก !”
ทั่วทั้งร่างของจางเต๋อจงเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำสีม่วงสีเขียวเป็นจ้ำ ๆ แม้ดวงตาของมันจะพองโตออกมา หากแต่มันยังคงไม่กล้าที่จะขัดขืนดื้อดึง คงทำได้แค่เพียงขยับกายกะโผลกกะเผลกออกไปพลางบ่นเพ้อพึมพำ “พวกเจ้ามันชั่วช้านัยน์ตาสุนัขชอบดูถูกผู้อื่น รอให้นายท่านเห็นรายงานบันทึกเดิมพันเสียก่อนเถิด เขาจะต้องกลับมาบดขยี้พวกเจ้าจนแหลกราญ ! เจ้ากล้าทำร้ายข้า รอให้ข้ากลับไปรวบรวมพลพรรคมากก่อนเถิดจะมาล้างบางพวกเจ้าไม่ให้เหลือ ดูสิว่าพวกเจ้ายังกล้าทำหยิ่งผยองอยู่ได้อีกหรือไม่”
เมื่อคิดดังนี้จางเต๋อจงหัวร่อออกมาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
ยามนี้มันมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เงินแค่เพียงสองพันตำลึงนับเป็นเรื่องง่ายดายมิใช่หรือ ? แม้เบื้องหน้ามันจะไม่ได้ทำงานรับใช้ตระกูลน่าหลานอีกมันก็หาได้ต้องห่วงกังวลในเรื่องเสื้อผ้าอาหารใด ๆ ทั้งสิ้น
ถูกแล้ว ! สมควรนำเงินพวกนี้ติดตัวแล้วหนีไปจากที่นี่ดีกว่า หันไปใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยมีอิสระเสรี ส่วนเจ้าพวกชั่วในบ่อนนั่น มันต้องหาทางสั่งสอนให้ได้ก่อนจากไปอย่างแน่นอน
จางเต๋อจงเดือดดาลอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดีอย่างลนลานอีกครู่หนึ่ง มันรีบรุดมายังอาคารหลังน้อยที่แอบซื้อเก็บไว้อย่างลับ ๆ โดยไม่ทันได้รับรู้เลยว่าเกอซีสะกดรอยตามหลังมาตลอดเส้นทาง
สืบเนื่องด้วยพลังฝีมือของจางเต๋อจงนั้นต่ำเตี้ยอีกทั้งมันยังไม่มีสมบัติวิเศษเพื่อเก็บข้าวของ เกอซีจึงคาดเดาได้ว่ามันจะต้องซุกซ่อนเงินทองไว้ในที่ลับสักแห่งหนึ่งในเมืองนี้
แน่นอนที่สุด เพียงไม่กี่อึดใจ จางเต๋อจงแบกกระสอบใบใหญ่ขึ้นบ่าเดินไปทางประตูหลังของอาคารด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
กระสอบใบนั้นแม้จะแลดูธรรมดาและหยาบกระด้าง หากทว่ากลับปลดปล่อยอายกระแสพลังที่ผันผวนออกมา
เกอซีคลี่ยิ้มออก เรียวคิ้วยกสูง ร่างของนางกระโจนขึ้นสู่อากาศและจรดลงบนผืนดินเบื้องหน้าจางเต๋อจง
“เจ้าเป็นใคร ?” จางเต๋อจงเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ไว้วางใจ การปรากฏตัวของเกอซีทำให้มันรู้สึกหวาดกลัว กระสอบเงินหกคะเมนลงกับพื้น
มันยืนนิ่งเพ่งสังเกตดูผู้ที่ขัดขวางสายตาอยู่เบื้องหน้า หนุ่มน้อยผู้นี้ให้ความรู้สึกที่บริสุทธิ์สง่างาม อีกทั้งตลอดทั่วร่างกายหาได้มีกรุ่นอายแห่งกระแสพลังใดพลิกผันเวียนวนอยู่
นับเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญโดยแท้ !
ความขวัญกล้าของจางเต๋อจงพุ่งขึ้นทันทียามเมื่อมันจ้องเขม็งยังเกอซีด้วยสายตาที่ดุร้าย “เจ้าหนุ่ม เจ้ามาผิดที่หรือเปล่า ? เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ที่ประตูหลังของข้า ?”
คิ้วของเกอซียกสูงขึ้นพร้อมด้วยรอยแย้มยิ้ม มุมปากของนางเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่อ่อนบาง ไรฟันขาวประดุจไข่มุกภายใต้ริมผีปากสีกลีบดอกท้อนั้นประดุจปลายขนนกอันบางเบาคุ้ยเขี่ยหยอกล้อหัวใจของมันให้สั่นไหวทำให้ตลอดทั้งร่างรู้สึกคันยุบยิบจั๊กจี้ใจ
สีหน้าของจางเต๋อจงดูแปลกประหลาด มันกวาดสายตามองนางตลอดตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“ดูจากรูปร่างหน้าตาของเจ้า เห็นทีจะเป็นคู่ขากระต่ายหนุ่มใช่หรือไม่ ? อย่าบอกนะว่าเจ้าเกิดพิศวาสอยากเอาอกเอาใจข้าขึ้นมา ? เสียใจด้วย ถึงเจ้าจะดูเป็นน้องใหม่สดซิงแลดูบอบบางแต่ยามนี้ข้ายังอารมณ์ไม่ดีเจ้าไปหาคนอื่นเลยไป”
ประกายตาที่มืดมนคมกริบพาดผ่านนัยน์ตาของเกอซีวาบหนึ่งก่อนที่หญิงสาวจะเงยหน้าขึ้นและชำเลืองสายตาไปที่จมูกแดงเปื้อนเลือดกับใบหน้าที่บวมเป่งของชายเคราะห์ร้ายก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “จางเต๋อจง เจ้าจำข้าไม่ได้รึ ?”
จางเต๋อจงหัวเราะขึ้นอย่างติดลามกและหยาบคาย “หากข้าได้เคยพบเห็นหนุ่มน้อยหน้ามนเช่นเจ้าข้าจะจำเจ้าไม่ได้ได้อย่างไร ?”
ยามเมื่อมันเอ่ยปากมันจึงสังเกตเห็นร่องรอยแห่งความเย้ยหยันบนสีหน้าของเกอซียามเมื่อนางเหยียดยื่นแขนออกมาปัดเช็ดใบหน้าของตนอย่างแช่มช้อย
ชั่วพริบตา รูปโฉมที่งดงามราวกับบุปผาที่ผลิบาน สูงส่งงามสง่าชวนชมประดุจดวงจันทรากระจ่าง กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ซีดเซียวหมองหม่น
***จบตอน คู่ขากระต่ายหนุ่ม***