เมื่อฟืนถูกจุดขึ้นอย่างร้อนแรงด้วยปราณพลังเพลิง เนื้อหวานสุกรภูเขาที่ถูกเคลือบด้วยซอสปรุงรสก็เริ่มไหม้เกรียมจนมีสีเหลืองทองส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งสวน
ไป๋หู่ยืนคุมความร้อนแรงของเปลวเพลิงให้ได้อุณภูมิคงที่สม่ำเสมอตามคำสั่งของเกอซี ชายหนุ่มจำต้องกล้ำกลืนน้ำลายผ่านลำคอลงไปเป็นพัก ๆ ขณะที่สายตายังคงจ้องเขม็งอยู่กับชิ้นเนื้อย่างตาไม่กระพริบ
ฉับพลันเสียงท้องร้องดังโครกครากก็ดังฟ้องอาการจนเซี่ยวหลีที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำให้ใบหน้าของผู้คุมเพลิงแดงก่ำขึ้นมาทันที
น่าอับอายเกินไปแล้ว ! ทว่านี่มันกลิ่นอันใดกันเหตุใดจึงหอมยั่วน้ำลายถึงเพียงนี้ ?
ไป๋หู่อดมิได้ที่จะแอบหันไปชำเลืองมองนายใหญ่ของตน ไม่เว้นกระทั่งนายท่านก็ยังใจจดใจจ่อตั้งใจจับจ้องหนุ่มน้อยหน้ามนผู้กำลังง่วนอยู่กับการย่างเนื้อด้วยแววตาที่สุกใสเปล่งประกายราวกับกำลังมองสมบัติล้ำค่าที่ถูกซุกซ่อนไว้
ขณะรอให้เนื้อหวานสุกรภูเขาสุกจนได้ที่ เกอซีหันมาจัดเตรียมซาลา*และน้ำแกงไปด้วยในเวลาเดียวกัน
*ซาลา คือสลัด
ส่วนประกอบ และกรรมวิธีการปรุงอาหารทั้งสองนั้นไม่ซับซ้อน ผักที่จะนำมาใช้ในการทำซาลาปลูกขึ้นจากผืนธรณีลำนำศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยการบำรุงเลี้ยงจากน้ำทิพย์ธาราแห่งความสันโดษเก้าชั้น ยิ่งเมื่อเสริมด้วยเครื่องปรุงรสชั้นยอดก็ยิ่งส่งให้อาหารที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณจานนี้กลายเป็นอาหารเลิศรสชั้นยอดที่สำรับอาหารธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
เมื่อเซี่ยวหลีเดินถือสำรับอาหารสองชุดผ่านไป๋หู่ กลิ่นหอมยั่วน้ำลายกระจายเข้าจู่โจมปลายจมูกของชายหนุ่ม กลิ่นเนื้อย่างหอมฉุยที่ทำให้ไป๋หู่ต้องกระเดือกลูกคอกล้ำกลืนน้ำลายลงไปด้วยอาการปั่นป่วน
“เอาล่ะ กินได้แล้ว”
หนานกงยวี่คืนสติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกขานจากเกอซี ครั้นเมื่อเคลื่อนสายตามาทางต้นเสียง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือรอยยิ้มอันอ่อนบางบนใบหน้าของสตรีผู้งดงามสวยสง่าในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ดวงตาทั้งคู่ของนางเปล่งประกายระยิบระยับราวหมู่ดวงดารา งดงามปานประหนึ่งภาพวาดในห้วงมายา บนโต๊ะอาหารมีเพียงกลิ่นที่หอมฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วสำรับที่แลดูเรียบง่าย ท่าทีที่เคยนิ่งเฉยเย็นชาของหญิงสาวยามนี้กลับกลายเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลให้ความรู้สึกที่อบอุ่น
นี่ช่างเป็น……บรรยากาศความอบอุ่นในครอบครัว
หนานกงยวี่ก้าวตรงมานั่งที่โต๊ะอาหาร ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับตะเกียบคีบชิมสำรับตรงหน้า
เนื้อหวานสุกรภูเขาเนียนนุ่มละลายในปากทันทีที่สัมผัสต้องปลายลิ้น อายพลังปราณที่อัดแน่นคลุกเคล้าไปกับกลิ่นเครื่องเทศหอมอ่อน ๆ กระตุ้นการรับรู้รสของเขาให้ตื่นตัวขึ้นมาได้ทันที ราวกับมีสายพลังปราณชีวิตค่อย ๆ ไหลซึมซาบแทรกผ่านลงในกายของเขาอย่างเชื่องช้า ช่วยขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าทั้งร่างกาย และจิตใจออกไปจนหมดสิ้น
เกอซีลงนั่งยกมือขึ้นเท้าคางอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางจับจ้องอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกว้าง
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง ?”
หนานกงยวี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ “ก็ไม่เลว”
ฮืม ? ไม่เลว ? ปากเจ้ากล่าวเช่นนั้นแต่เหตุใดมือเจ้าขยับฉุบฉับสวาปามอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ? ไอ้ที่เห็นอยู่นี้มิใช่เจ้ากำลังเขมือบอย่างตะกรุมตะกรามล่ะหรือ ?
เดี๋ยว ๆ ๆ ! นี่ถึงขนาดใช้มือจกจับกินกันเลยหรือ ? เจ้าคือองค์ชายราชันมัจจุราชเทพบุตรในฝันของเหล่าสาว ๆ ทั่วทั้งจินหลินจริงล่ะหรือ ? ไยจึงตั้งหน้าตั้งตายัดซะขนาดนี้ ? เสียภาพพจน์หมด !
เพียงชั่วหนึ่งก้านธูป สำรับทั้งสามจานรวมไปถึงน้ำแกงที่อยู่บนโต๊ะถูกหนานกงยวี่จัดการจนเกลี้ยงไม่เหลือหลอ
ไป๋หู่ใบหน้าบูดเบี้ยว “นายท่าน ข้าสู้อุตส่าห์ย่างเนื้อเสียตั้งนาน แค่เพียงเศษนายท่านก็ไม่เหลือทิ้งไว้ให้ข้าบ้างเลยหรือ ?”
กระทั่งยอดบุรุษอย่างนายท่านยังถึงกับรับอาหารอย่างเพลิดเพลินกระทั่งหลงลืมผู้อื่นไปสิ้น ที่สุดแล้วอาหารสำรับนี้จะมีรสชาติเอร็ดอร่อยถึงเพียงไหนกัน ? เขาก็อยากมีโอกาสได้ชิมบ้างนี่ ฮือ ฮือ ฮือ……
เซี่ยวหลีเห็นหน้าตาน่าสงสารของชายหนุ่ม จึงเข้าไปนำอาหารของพวกซีเจี่ยที่อยู่ในครัวออกมามอบให้เขาแทน
แน่นอนว่าสำรับอาหารชุดนี้ย่อมไม่อาจมีรสชาติหรือกระแสพลังปราณเทียบเท่ากับสำรับที่หนานกงยวี่ได้ลิ้มลอง
กระทั่งดวงตะวันกำลังจะเริ่มลาลับขอบฟ้าทางปลายทิศตะวันตก หนานกงยวี่จึงยอมตัดใจออกไปจากเรือน
เกอซีเดินไปส่งที่หน้าประตู ขณะกำลังจะหันหลังแยกจากกัน หนานกงยวี่กลับฉวยข้อมือหญิงสาวกระทั่งร่างบางถูกโอบล้อมอย่างแน่นหนาให้ตกอยู่ภายใต้วงแขนของอีกฝ่าย
“คนเลว….เจ้า ….ปล่อยข้า !” แม่นมเฉินกับเซี่ยวหลียังมองอยู่เลย !
หนานกงยวี่โน้มกายลงมาใกล้พลางกระซิบที่ข้างหู “พรุ่งนี้ ข้าอยากกินม้วนทองกลิ่นมะกรูดที่เจ้าเคยพูดถึง อย่าลืมทำให้ข้าด้วยนะ”
เกอซีถลึงตาใส่ “อาศัยเหตุผลใดข้าจึงต้องทำตามคำสั่งเจ้า ?” เจ้าคนไม่รู้จักพอ !
***จบตอน ตะกรุมตะกราม***