เมื่อครั้งที่นายใหญ่สกุลจูได้ทราบว่าจูจงป้าถูกทำร้าย เขาโกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวอย่างถึงที่สุด ทว่าทันทีที่ได้รู้ว่าน่าหลานเฟ่ยเสวี่ย คุณหนูรองแห่งสกุลน่าหลานคือผู้ลงแส้เปลื้องอาภรณ์ออกจากกายของบุตรชายตนจนเนื้อตัวเปลือยเปล่า ความเดือดดาลทั้งสิ้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นมื่น ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้สุขใจ
จะต้องกล่าวไปไยถึงตระกูลน่าหลานซึ่งมีพื้นฐานสกุลเลื่องลือมีชื่อเสียงยิ่งกว่าตระกูลจู เพียงข้อเท็จจริงที่ว่าน่าหลานเฟ่ยเสวี่ยคือผู้มีพรสวรรค์ด้านพลังยุทธเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วทั้งอาณาจักรจินหลิง ด้วยวัยเพียงน้อยนิดนางสามารถบรรลุถึงขั้นต้นในระดับพลังปราณชั้นเมล็ดพันธุ์เพาะบ่ม หากมิใช่ด้วยความเป็นอัจริยภาพเช่นนี้ ตระกูลโอวหยางคงจะไม่จัดเตรียมหมั้นหมายนางให้แก่โอวหยางฮ่าวเซวียนเป็นแน่
นายใหญ่ตระกูลจูสิ้นหวังกับจูจงป้าสืบเนื่องมาจากพลังฝีมือ และความเขลาเบาปัญญาของบุตรชายตนมานานแล้ว ทว่าหากสามารถทำให้บุตรชายสมรสกับภรรยาที่มาจากตระกูลซึ่งได้ชื่อว่ามีชาติสกุลที่ดีได้ เมื่อถึงคราวที่ทั้งคู่ให้กำเนิดหลานชายย่อมจะเป็นผลดีที่สุดต่อสกุลจูมิใช่หรือ ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มีหรือที่ตระกูลจูจะปล่อยโอกาสทองเยี่ยงนี้ไป พวกเขาย่อมต้องหาทางทำให้น่าหลานเฟ่ยเสวี่ยมาเป็นสะใภ้สกลุลจูให้ได้แม้จะต้องใช้วิธีทำลายชื่อเสียงของนางก็ตามที
เดิมทีเดียวตระกูลน่าหลานมีท่าทีบิดพริ้วมาโดยตลอด ทว่าเมื่อสองวันก่อนตระกูลจูกลับได้รับแจ้งข่าวว่าสกุลน่าหลานยินยอมพร้อมให้พวกเขาเข้ามาพูดคุยเรื่องการจัดแจงงานหมั้นหมายระหว่างสองตระกูลแล้ว นายใหญ่สกุลจูยิ้มจนหน้าบานด้วยความยินดีปรีดายิ่งนัก และเพื่อป้องกันการบิดพริ้ว พวกเขาเชิญองค์ชายหกมาร่วมเป็นพยาน และร่วมเดินทางมาในขบวนแห่ครั้งมโหฬารครานี้ด้วย
ฮูหยินน่าหลานสั่งบ่าวไพร่จัดเตรียมทำความสะอาดห้องโถงใหญ่พร้อมกับให้คนไปเรียกตัวเกอซีออกมา
ยามนี้ ใบหน้าของเกอซียังคงแลดูเป็นเด็กสาวที่อ่านง่ายดังเช่นเคย หากทว่านัยน์ตาที่เคยนิ่งสงบอย่างล้ำลึกเมื่อหลายวันก่อนกลับแลดูมืดหม่น สีหน้าแห่งความหวาดผวาตื่นกลัวฉายพาดผ่านดวงหน้านั้นเป็นครั้งคราว
ความสุขสมอิ่มล้นอยู่ภายในใจของฮูหยินน่าหลาน นางวางแผนทั้งหมดไว้เป็นอย่างดี ทุกสิ่งจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ในวันนี้นางจะต้องสะสางปัญหาที่ค้างคาใจกดดันความรู้สึกของนางมาหลายวันลงให้จงได้
หากแต่ทันทีที่เห็นผู้ติดตามร่วมขบวนมากับนายใหญ่ตระกูลจู สีหน้าของฮูหยินน่าหลานกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวบ้างสลับไปเป็นขาวซีดบ้าง
ในกลุ่มผู้ร่วมขบวนครั้งใหญ่ครานี้ นอกไปเสียจากนายใหญ่ตระกูลจู จูจงป้าและองค์ชายหกแล้ว ยังมีบุรุษหนุ่มผู้ยืนเด่นเป็นสง่าลำกายตั้งตรง บุคคลที่ไม่อาจมีผู้ใดคาดคิดถึง
ถูกแล้ว คนผู้นั้นคือโอวหยางฮ่าวเซวียน บุคคลผู้เดียวกับผู้ที่นอนแน่นิ่งในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายเมื่อครึ่งปีก่อน บุรุษผู้ถูกตระกูลน่าหลานยกเลิกการหมั้นหมาย โอวหยางฮ่าวเซวียนผู้นั้นเอง
โอวหยางฮ่าวเซวียนยังมิทันเอ่ยคำ องค์ชายหกก็ก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้มพลางเอ่ยกล่าว “ฮ่าวเซวียนคือสหายแห่งข้า เขาล้มป่วยต้องนอนพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลานาน ยามนี้เขาฟื้นตัวหายสนิทจากอาการป่วยแล้ว ข้าจึงชวนเขาออกมาด้วยกันเพื่อแก้เบื่อ ฮูหยินน่าหลานคงไม่ขัดข้องกระมัง !”
“เป็นไปได้อย่างไร ?” อีกฝ่ายแผดเสียงออกมาพร้อมใบหน้าที่ซีดเผือด “นายท่านกล่าวว่าไม่อาจมีผู้ใดสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้ ! เขาจะต้องเป็นผู้พิการไร้ความสามารถไปตลอดชีวิต เช่นนั้นข้าจึง…….”
วาจาที่เอ่ยกล่าวออกมาของฮูหยินน่าหลานหาได้สร้างความอึดอัดใดให้แก่โอวหยางฮ่าวเซวียน ทว่าสีหน้าขององค์ชายหกกลับมืดหม่น
ยามนี้เขากำลังช่วงชิงตำแหน่งเพื่อครอบครองบัลลังก์มังกรแห่งอาณาจักร แรงสนับสนุนจากตระกูลโอวหยางนับว่าเป็นกำลังที่สำคัญยิ่งนัก เมื่อครั้งที่โอวหยางฮ่าวเซวียนล้มป่วยอย่างหนัก ตระกูลโอวหยางไม่มีใจจะใส่ใจว่าผู้ใดจะให้การสนับสนุนผู้ที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิ์องค์ต่อไป ส่วนตัวเขาก็ไม่อาจยื่นมือให้การช่วยเหลือตระกูลโอวหยางได้มากนัก หากแต่ยามนี้เมื่อโอวหยางฮ่าวเซวียนฟื้นจากอาการป่วย และเป็นปกติดีแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ล้วนยังคงแน่นแฟ้น เช่นนั้นจึงควรรีบฉกฉวยโอกาสนี้ จะปล่อยให้ผู้ที่ปรามาสโอวหยางฮ่าวเซวียนลอยนวลไปง่าย ๆได้อย่างไรกัน ? !
สายตาขององค์ชายหกทั้งดุดันทั้งเย็นชายามเมื่อจับจ้องเขม็งมายังฮูหยินน่าหลาน “ฮูหยินน่าหลาน เจ้าพูดอะไร ? ฮ่าวเซวียนผู้นี้คือสหายของเปิ่นหวาง หากเจ้ายังกล้ากล่าววาจาล่วงเกินอีก เปิ่นหวางคงต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้ต่อเสด็จพ่อ”
***จบตอน ไยเจ้าจึงอยู่ที่นี่ ?***