“แม่มีเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ !” ฮูหยินโอวหยางโอดครวญร่ำร้อง ขณะที่ฝ่ามือของนางยังคงเกาะกุมยึดเหนี่ยวมือของโอวหยางฮ่าวเซวียนอยู่ตลอดเวลาไม่ยอมคลายออก “หากเจ้าตาย แม่จะอยู่ได้อย่างไร ? ยังบิดาเจ้าอีกเล่า ? เซวียนเอ๋อ ผลกรรมยังไม่ทันได้ตอบสนองต่อพวกที่มันทำร้ายเจ้า ยามนี้บรรดาเครือญาติทั้งหลายล้วนกระเหี้ยนกระหือรืออยากให้เจ้าตาย เจ้าจะให้พวกมันได้สมหวังจริง ๆ กระนั้นหรือ ? ต้องตายตกลงไปในสภาพของคนที่ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ เจ้าจะให้บิดามารดาของเจ้าต้องเศร้าโศกเสียใจทุกข์ระทมจมความเจ็บแค้นกระนั้นรึ ! !”
โอวหยางฮ่าวเซวียนยังคงอยู่ในสภาพที่นิ่งสงบไร้ปฏิกริยาตอบโต้ ดวงตาที่ว่างเปล่าทั้งคู่ฉายออกมาเพียงความสิ้นหวังหยาดน้ำตาแห่งความไม่ยินยอมกลั่นรวมตัวเอ่อคลอสองเบ้าตา
ก่อนหน้านี้ เขาคือผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นเจิดจ้าอย่างที่สุดแห่งสกุลโอวหยาง บุคคลผู้อยู่เหนือคน เขาคือผู้ที่คนทั้งหลายล้วนให้ความเคารพยกย่อง เขาคือผู้ที่คนทั้งหลายต่างพากันอิจฉาในความเก่งกล้า เขาคือผู้ที่คนทั้งหลายล้วนต้องก้มศีรษะยอมรับนับถือ เขาคือความภาคภูมิใจของบิดามารดา เขาคืออนาคตอันรุ่งโรจน์ความหวังเพียงหนึ่งเดียวแห่งตระกูลโอวหยาง
ทว่า ! เพียงชั่วพริบตา ภาพแห่งผู้มีพรสวรรค์คงความเป็นอัจฉริยภาพผู้นั้นกลับถูกบดขยี้แหลกราญให้กลายเป็นฝุ่นเถ้าธุลี เนื้อหยกชิ้นงามกลับต้องแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนเปรอะเปื้อนปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง พลังฝีมือทั้งหมดที่ฝึกฝนสั่งสมกลับกลายสลายสิ้น เหลือเพียงสภาพแห่งผู้พิการไร้สิ้นวรยุทธ เพียงพริบตากลับผันเปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของเขาให้กลายเป็นบุคคลที่ไม่อาจแม้กระทั่งดูแลตนเองได้ แต่ละคืนวันที่ผันผ่านไป นอกจากนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแล้ว เขาไร้สามารถจะกระทำสิ่งใดได้อีก แม้กระทั่งคำข้าวยังต้องอาศัยผู้อื่นช่วยเหลือไม่ให้เศษอาหารต้องหกหล่นเลอะเทอะ
เขาถูกจำกัดให้นอนอยู่แต่ภายในห้องที่มืดครึ้มเหม็นอับแห่งนี้มานานกว่าขวบปีแล้ว หนึ่งปีเต็ม ๆ ที่ผ่านมานี้เขาสูญเสียความภาคภูมิในตนเอง สูญสิ้นเกียรติภูมิ และหมดสิ้นแรงปรารถนาจะมีชีวิต ทุกคืนวันเขาเพียงปรารถนาให้มัจจุราชแห่งความตายได้เข้ามารับเขาโดยเร็ว มันยังจะดีเสียกว่าที่ต้องนอนทิ้งลมหายใจในแต่ละวันไปราวกับซากศพเยี่ยงนี้
หากทว่าวาจาของท่านแม่กลับกระตุ้นความเกลียดชังคั่งแค้นที่สุมซ่อนลึกอยู่ภายในใจให้ลุกโชนขึ้นมา
กลุ่มคนชุดดำที่วางแผนหลอกล่อให้เขาเข้าไปยังเขตป่าอสูรมนต์มายา ไอ้พวกสวะที่ลากพาเขาเข้าไปพัวพันอยู่ในกับดัก เขายังไม่อาจกลับไปล้างแค้นด้วยมือของตนเองได้ ยังไม่อาจให้พวกมันชดใช้หนี้แค้นโลหิตด้วยหยาดโลหิต เขาจะตายอย่างนี้ได้อย่างไร ! เขาจะยอมล้มเลิกละทิ้งทุกสิ่งไปเช่นนี้ได้อย่างไร !
ด้านในห้องมีเพียงเสียงร้องสะอื้นไห้ของฮูหยินโอวหยาง สลับกับเสียงแผดร้องประดุจสัตว์ป่าที่หิวโหยของโอวหยางฮ่าวเซวียนที่ดังขึ้นเป็นระยะ ทั่วทั้งห้องแผ่คลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งความสิ้นหวังอับจนหนทางจนบาดหัวใจผู้คนให้หม่นหมองโศกสลด
ยามนั้นเอง ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออก โอวหยางจื้อโซวงก้าวฝีเท้ายาวตรงเข้ามาด้านในด้วยใบหน้าที่ไร้สิ้นความวิตกกังวลเหมือนที่ผ่านมา ยามนี้ดวงตาของเขาเปล่งประกายอย่างน่าพิศวง “ฮูหยิน เร็วเข้า ! รีบชำระกายให้ฮ่าวเซวียนเร็วเข้า ท่านหมออัจฉริยะกำลังจะมาถึงแล้ว เขากำลังมาให้การรักษาฮ่าวเซวียนแล้ว”
ฮูหยินโอวหยางสะดุ้งตื่นตกใจ นางรีบยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาก่อนเอ่ยถามออกมา “ท่านหมออัจฉริยะ ? หรือจะเป็นอาวุโสที่ท่านไปเรียนเชิญมาจากสหพันธ์แพทย์ ?”
โอวหยางจื้อโซวงส่ายศีรษะ “บรรดาอาวุโสทั้งหลายแห่งสหพันธ์แพทย์ล้วนเป็นบุคคลลึกลับที่ไม่อาจมีผู้ใดรู้หลักแหล่งที่อยู่แน่นอนของพวกเขา ข้าจะไปตามตัวพวกเขามาภายในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร ทว่าครานี้ผู้ที่ข้าได้ประสบเจอนั้น แม้จะมิใช่ท่านหมอผู้มีทักษะทางการแพทย์ขั้นแปด หากแต่ความสามารถในการรักษานั้นนับว่าสมบูรณ์แบบ เชื่อข้าเถิด เขาจะต้องสามารถช่วยฮ่าวเซวียนได้อย่างแน่นอน”
นัยน์ตาของฮูหยินโอวหยางทอประกาย น้ำเสียงไถ่ถามของนางสั่นเครือ “จริง….จริงหรือนี่ ? ท่านพี่ ท่านสามารถพบเจอผู้ที่จะสามารถช่วยฮ่าวเซวียนได้จริง ๆ หรือนี่ ?”
“ท่านพ่อ อย่าได้สิ้นเปลืองแรงต่อไปอีกเลย” โอวหยางฮ่าวเซวียนผู้นอนนิ่งอยู่บนเตียงยังคงไม่ขยับเขยื้อนกายแม้เพียงน้อยนิด หากแต่สีหน้านั้นกลับยิ่งสลดหดหู่ลงไปกว่าเดิม “มิใช่ว่าบรรดาหมอทั้งหลายที่มาเยือนจวนโอวหยางล้วนกล่าวกันว่าข้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ หากแต่กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นทั่วร่างล้วนสิ้นสภาพ สิ่งที่กล่าวกันนั้น คือสิ่งที่ข้ากำลังเผชิญอยู่ในยามนี้มิใช่หรือ ?”
เขาเปิดปากเอ่ยวาจาเหน็บแนมพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ ความน่ากลัวร้ายกาจแผ่ขยายกระจายไปทั่วทั้งดวงหน้า “หลังตรวจจับเส้นชีพแล้วทุกคนล้วนพากันหนีหาย โดยเฉพาะน่าหลานเจิ้งเจ๋อท่านหมอผู้มีทักษะทางการแพทย์อันสูงส่งเป็นอันดับหนึ่งเกริกไกรไปทั่วอาณาจักรจินหลิง ภายหลังจากได้ตรวจวินิจฉัยว่าอาการเจ็บป่วยของข้าไม่อาจเยียวยารักษาให้คืนสู่สภาวะปกติได้ เขาจึงยกเลิกการหมั้นหมายอันจะมีขึ้นระหว่างตระกูลโอวหยาง และตระกูลน่าหลานอย่างไม่มีผู้ใดคาดหมาย อีกทั้งเรื่องที่ข้าต้องกลับกลายเป็นผู้พิการกลับถูกนำออกป่าวประกาศไปทั่วจนข้าต้องกลายเป็นตัวตลกเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนทั่วอาณาจักรจินหลิง ฮ่าฮ่าฮ่า……เขาช่างเป็นหมอที่เก่งกาจสุดยอดแห่งอาณาจักร ช่างเป็นหมอที่ประเสริฐเสียจริง !”
ยามเมื่อเอ่ยถึงสกุลน่าหลานขึ้นมา โอวหยางจื้อโซวง และฮูหยินโอวหยางต่างกัดกรามแน่นด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
สืบเนื่องจากความสัมพันธ์ทางการเมือง และด้วยฮูหยินโอวหยางกับฮูหยินน่าหลานเป็นเพื่อนกันแต่วัยเยาว์ ทั้งสองตระกูลจึงตกลงกันว่าเมื่อใดที่โอวหยางฮ่าวเซวียน และคุณหนูรองน่าหลานเฟ่ยเสวี่ยถึงวัยที่จะออกเรือนได้ พวกเขาจะให้คนทั้งคู่ได้เข้าสู่พิธีสมรสกันตามประเพณี
***จบตอน ความสิ้นหวังของโอวหยางฮ่าวเซวียน***