ตลกเกินไปแล้ว ! นั่นคือสมบัติที่ท่านผู้เฒ่าซูมี่ทิ้งไว้ให้ !
บางทีเมื่อวันหนึ่งที่มันสามารถกระเทาะเปลือกออกมาได้ นางอาจได้พบสัตว์เทพ หากนางปล่อยให้ต้านต้านเอาไปเคี้ยวเล่นมิต้องมานั่งร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดกระนั้นหรือ ?
ต้านต้านกระพริบดวงตากลมโตแวววาวคู่นั้นมองเกอซี “ต้านต้านไม่กินไข่ก็ได้ ท่านแม่ ท่านแม่พาต้านต้านออกไปเที่ยวข้างนอกดีไหม เราจะได้กินโน่นกินนี่ด้วยกัน ต้านต้านจะเป็นเด็กดีเลยนะ”
สองคิ้วของเกอซีเลิกขึ้นสูงสายตาจับจ้องไปยังต้านต้านผู้มีรูปลักษณ์แสนสะดุดสายตา มุมปากของนางขยับยกขึ้นพลางส่ายหน้าไปมาด้วยอับจนปัญญา
“ตอนนี้ยังไม่ได้ โลกภายนอกมากมายไปด้วยคนชั่วช้า หากคนพวกนั้นจับเจ้าลงหม้อแกงจะเป็นเช่นไร ? ยามนี้เจ้าสมควรรั้งอยู่เฉพาะเพียงในมิติแห่งนี้ก่อน ข้าจะหาอาหารอร่อย ๆ มาให้เจ้ากินเอง”
ท่านผู้เฒ่าซูมี่ย้ำเตือนนางว่าตัวตนที่แท้จริงของต้านต้านจะสามารถปลุกเร้าความโลภโมโทสัน และแรงกิเลสซึ่งฝังอยู่ในจิตสำนึกของผู้คนให้พลุ่งพล่านขึ้นมาได้ พลังยุทธของนางยามนี้นับว่ายังต่ำต้อยยิ่งนัก เช่นนี้นางหรือจะกล้าเหิมเกริมนำเจ้าหนูน้อยผู้นี้ออกไปอวดโฉมท่องยุทธภพ ?
ทันทีที่ได้ยินเกอซีกล่าวว่าพวกคนชั่วช้าด้านนอกหมายจะจับตัวเขา หนวดน้อย ๆ ทั้งสองก็สั่นระริกด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้ารบเร้าขอออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกกับเกอซีอีก
ต้านต้านอุ้มฟองไข่ด้วยความรู้สึกเศร้าสลดพลางเอ่ยกล่าวอย่างละห้อยไห้ “เช่นนั้นท่านแม่ควรรีบหาอะไรให้ต้านต้านกินแล้ว ต้านต้านหิวจังเลย”
กล่าวจบดวงหน้ากลม ๆ น้อย ๆ ก็ถูไถไปกับเปลือกไข่ใบน้อย สายตาของเกอซีนับว่าเฉียบคมยิ่งนัก นางสังเกตเห็นว่ายามที่ต้านต้านถูไถแก้มของตนกับฟองไข่ ประกายแสงอันอ่อนบางพลันแผ่กระจายออกมาจากด้านในฟองไข่
เกอซีวางความคิดถึงเรื่องฟองไข่นั้นไป ก่อนจะหยิบเม็ดโอสถแปลกตาสองเม็ดขึ้นมาสูดดม แม้กระนั้นก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าโอสถทั้งสองมีคุณสมบัติเช่นไร ทั้งยังไม่นึกอยากลองชิม นางจึงโยนเม็ดโอสถทั้งสองกลับเข้าหีบหยกก่อนจะตัดสินใจวางความสนใจในโอสถทั้งสองลงชั่วคราว
ครั้นเมื่อถอดถอนจิตของตนออกมาจากมิติเวท เกอซีจึงถ่ายถอนลมหายใจยาวด้วยความผ่อนคลาย ความรู้สึกยามนี้ช่างแจ่มกระจ่างประดุจดั่งเพิ่งฟื้นตื่นจากนิทรารมย์อันยาวนาน
ดังที่คาดคิดไว้ พลังฝีมือของนางจะก้าวกระโดดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมถึงระดับที่นางสามารถคุ้มครองตนเองได้แล้ว เยี่ยงนี้ ย่อมเป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยมั่นคง
ครั้นเมื่อได้ยินเสียงท้องของตนร้องคำราม เกอซีจึงลุกเคลื่อนกายออกไปจากห้องที่พัก ทว่าทันทีที่ฝ่าเท้าย่างกรายเข้ามาถึงส่วนด้านใน สองตาของนางพลันตกอยู่ในอาการงุนงง เบื้องหน้าที่ปรากฏนั้นคือพระราชวังที่โอ่โถงวิจิตรตระการตาอันกอปรไปด้วยอุทยานที่สวยงามดั่งสวรรค์สร้าง
เมื่อครู่ยามเมื่ออยู่ในเรือนพักด้านใน นางสามารถรับรู้ได้ถึงการประดับตกแต่งที่ไม่คุ้นสายตา ทว่ายังไม่เท่ากับช่วงเวลาในขณะนี้ พระตำหนักอันหรูหรางดงามให้ความรู้สึกอันภูมิฐานสูงส่งทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ว่าสัมผัสแห่งสัญชาตญาณของตนนั้นล้วนถูกต้องอย่างยิ่ง
ครั้งที่นางหมดสติไปหลังถูกมือสังหารจากองค์กรปีศาจสยบแดนดินไล่ล่าสังหาร คล้ายในความทรงจำอันคลุมเครือปรากฏใบหน้าที่คุ้นตา น้ำเสียงแหบต่ำดังก้องอยู่ข้างหู สุ้มเสียงที่ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ
หนานกงยวี่ ต้องเป็นหนานกงยวี่อย่างแน่นอน !
เกอซียกมือขึ้นเกาะกุมอก เสียงหัวใจเต้นระทึกไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกตื้นตันภายในใจค่อย ๆ เอ่อล้นท่วมทะลักขึ้นถึงสองเบ้าตา
หากสิ่งที่คาดเดาไว้ไม่ผิดพลาด คงมีเพียงหนานกงยวี่เท่านั้นที่มีผลหยวนหยางอยู่ในมือ และย่อมเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะล่วงรู้หนทางในการคลายผนึกจุดตันเถียนให้แก่นาง
ยังมี ครั้งที่นางกำลังถูกไล่ล่าหมายสังหารอยู่นั้น ตราประทับบนปิ่นปักผม คือสิ่งที่ช่วยปกป้องนางจากหายนะทำให้นางสามารถรอดพ้นจากหุบเหวแห่งมัจจุราชขึ้นมาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หนานกงยวี่ย่อมต้องล่วงรู้ถึงสถานการณ์ความเป็นไปของนางอย่างแน่แท้
เช่นนั้น เขาจึงสามารถหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือนางได้ทันการ อีกทั้งยังสามารถช่วยนางคลายผนึกที่จุดตันเถียนให้อีกด้วย
เพียงคิดได้เช่นนั้น ฝีเท้าของเกอซียิ่งกระชั้นถี่ ยามนี้ นางหมายใจจะได้พบหน้าเขายิ่งนัก มิอาจอดทนรั้งรอได้อีกแม้เพียงเสี้ยววินาที
****
ขณะกำลังกวาดสายตาหาผู้คนเพื่อไถ่ถามหนทาง เกอซีก็มาถึงหน้าประตูอุทยานส่วนใน สรรพเสียงโต้ตอบดังขึ้นมาจากบานประตูอีกฝาก
สุ้มเสียงของบุรุษนั้นคุ้นหูยิ่งนัก ด้วยเจ้าของสรรพสำเนียงนั้นคือพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ เจ้าตัวกินแรงที่เดินทางมารับสำรับอาหาร และเครื่องดื่มจากนางถึงในเรือนหลังน้อยอยู่ทุกวี่วัน
ทว่า น้ำเสียงของฝ่ายสตรีนั้น……. แม้คราแรกเกอซีจะรู้สึกไม่คุ้นเสียง ทว่าเมื่อตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มคุ้นหูสำเนียงเสียงนี้แม้ภายในใจยังรู้สึกคลุมเครือ
ครั้นเมื่อเงี่ยหูฟังจึงได้ยินบทสนทนาโต้ตอบของไป๋หู่ ในน้ำเสียงที่เย็นชาไม่เห็นพ้องดังขึ้น
“จูเฉวี่ย เจ้าอย่าสร้างปัญหาอีกเลย นี่คือบัญชาของนายท่าน อย่าบอกว่ากระทั่งคำสั่งของนายท่านเจ้าก็คิดจะฝ่าฝืน ?”
จูเฉวี่ย ? จูเฉวี่ย ! เกอซีไร้ข้อกังขาในทันทีว่าไยนางจึงรู้สึกว่าสำเนียงเสียงนี้ช่างคุ้นหู หากทว่ากลับรู้สึกคุ้นในความน่ารำคาญอยู่ในที
เป็นเช่นนี้เอง นางคือสตรีแสนยโสผู้มาส่งโอสถให้นางตามบัญชาการของนายท่านของนาง ทว่าที่สุดแล้ว นางกลับพยายามหาทางลงมือสังหารเกอซีเสียเอง
ครั้นเมื่อประมวลรวมทุกสิ่งทุกประการเข้าด้วยกันแล้ว ผู้ที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่นางย่อมต้องเป็น หนานกงยวี่อย่างแน่แท้ !
***จบตอน จูเฉวี่ยเราพบกันอีกครา ***