ขณะที่เกอซีกำลังจะเหยียดยื่นฝ่ามือออกผลักบานประตู สุ้มเสียงแหลมบาดหูของจูเฉวี่ยพลันเสียดแทงผ่านช่องบานประตูเหล็กหนา “ไป๋หู่ หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นสหาย ยังเห็นแก่ที่พวกเราเติบโตมาด้วยกันก็จงหลีกทางไปเสีย หาไม่แล้ว ข้าจะไม่เกรงใจเจ้า ! วันนี้ข้าจะต้องเด็ดหัวนางสารเลวนั่นให้ได้ !”
ไป๋หู่แย้งขึ้นทันควัน “ก่อนนายท่านจะหมดสติไปเจ้าก็ได้ยินบัญชาของนายท่านอย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ นางคือพระชายาที่นายท่านเลือกแล้ว นับแต่นี้ไปนางก็คือนายหญิงของพวกเรา แม้ข้าจะรู้สึกตำหนิที่นางคือเหตุแห่งการล้มเจ็บจนถึงภาวะวิกฤติของนายท่าน ทว่าคำสั่งของนายท่านย่อมเป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจละเลย”
พระชายา ? เหตุแห่งการล้มเจ็บของนายท่าน ? ฝ่ามือที่กำลังค่อย ๆ เคลื่อนผลักบานประตูของเกอซีนิ่งค้างไปชั่วขณะ ความฉงนสนเท่ห์แผ่กระจายเอิบอาบผ่านออกมาทางดวงตา
จูเฉวี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อนเอ่ยโต้กลับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดบาดหู “ไป๋หู่ เจ้าอย่าได้หลงลืมไปสิว่าที่นายท่านต้องตกอยู่ในสภาพนี้ด้วยเพราะนางสารเลวนั่น ! หากมิใช่เพราะนายท่านมัวแต่พะวงจะช่วยชีวิตนาง มีหรือนายท่านจะหมดสติไม่รู้ตัวกระทั่งยามนี้ ? ข้ามิอาจ…..มิอาจ………หลีกไปเดี๋ยวนี้ ! หาไม่แล้ว หากข้าจำต้องใช้พิษกับเจ้าเจ้าจะมาตำหนิข้าไม่ได้ !”
“จูเฉวี่ยอย่าสร้างความวุ่นวายอีกเลย ดูพลังฝีมือยามนี้ของเจ้าก่อนเถิด แม้เจ้าใช้พิษก็ใช่ว่าจะทำอะไรข้าได้ ?” น้ำเสียงของไป๋หู่เบื่อหน่ายระอาอย่างเหลือทน
“อีกประการ ชิงหลงกล่าวว่า อาจเป็นได้ที่นางจะสามารถให้การรักษานายท่าน ชิงหลงเป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์ครั้งที่นางให้การรักษาอาการเจ็บป่วยของโอวหยางฮ่าวเซวียน เรื่องหนักหนาถึงขั้นคอขาดบาดตายของนายท่านเช่นนี้เขาไม่มีทางสร้างเรื่องโป้ปดขึ้นมาแน่อย่างแน่นอน”
“ยังมี เจ้าหลงลืมไปแล้วหรือว่าหลังบานประตูนี้คือสถานที่ใด ?” น้ำเสียงของผู้กล่าวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบกระด้างชาประดุจปลายกระบี่ “ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของนายท่าน แม้กระทั่งผู้รับใช้คนสนิททั้งแปดอย่างพวกเรา ! เพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าไปด้านในคือคุณหนูน่าหลานเท่านั้น อย่าบอกนะว่าถึงเพียงนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจอีก ?”
สีหน้าของจูเฉวี่ยอึ้งค้างในหัวพลันโล่งว่างไปชั่วครู่ ก่อนเสียงหัวเราะดังลั่นจะระเบิดออกมาพร้อมน้ำเสียงเกรี้ยวกราดชิงชัง “เจ้าเชื่อหรือว่านางสวะที่ไม่มีแม้แต่พลังวัตรจะสามารถให้การรักษานายท่านได้ ? เจ้าไม่ยอมฟังแม้กระทั่งข้าผู้เป็นแพทย์ระดับห้า หนึ่งในสมาชิกองค์กรสหพันธ์แพทย์กระนั้นหรือ ?”
“เช่นนั้นเจ้าให้คำมั่นได้หรือไม่ว่าเจ้าสามารถทำการรักษานายท่านได้ ?” ไป๋หู่ยังคงความสุขุมยามเมื่อเขาเอ่ยถาม
อีกฝ่ายมีอาการลังเลเล็กน้อยก่อนจะขึ้นเสียงตวาดสวนกลับไป “หากข้าไม่สามารถรักษาอาการของนายท่านได้ก็อย่าหวังเลยว่านางเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้อยประสบการณ์ผู้นั้นจะให้การรักษานายท่านได้ เจ้ากับชิงหลงมันโง่ที่หลงเชื่อนางแพศยานั่น…..พวกเจ้าอยากให้นายท่านตายหรืออย่างไร ?”
ได้ยินบทสนทนาแค่เพียงนั้น สีหน้าของเกอซีก็บิดเบ้ไม่อาจทนฟังวาจาระคายหูพวกนี้ได้อีก นางผลักบานประตูออก สายตาอันเฉียบคมจับนิ่งอยู่กับไป๋หู่ “หนานกงยวี่เป็นอะไร ?”
คนเหล่านี้พูดจาราวกับนางทำร้ายหนานกงยวี่ ที่สุดแล้ว พวกเขาหมายความเช่นไร ?
ทั้งไป๋หู่ และจูเฉวี่ยต่างตกตะลึง ฝ่ายชายรีบโพล่งออกไป “คุณหนูน่าหลาน ท่าน…..ท่านมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ?” เขาคือผู้เยี่ยมยุทธระดับปฐพีสะท้านสะเทือนทว่ากลับไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนสามัญผู้ไร้สิ้นพลังฝีมือยืนฟังอยู่หลังบานประตู
เกอซีหาได้แยแสต่อข้อซักไซ้เหล่านั้น สีหน้าของนางราบเรียบขณะน้ำเสียงยังคงย้ำคำ “เกิดสิ่งใดขึ้นกับหนานกงยวี่ ? เขาบาดเจ็บสาหัสกระนั้นหรือ ? พาข้าไปพบเขาเดี๋ยวนี้ !”
มิอาจบรรยายความรู้สึกที่ท่วมท้นยามนี้ได้ ประดุจดั่งขั้วหัวใจถูกกรงเล็บตะกุยขย้ำยับเยินอย่างแสนเจ็บปวดสุดทนทรมาน
เขาเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญได้พบปะกันแค่เพียงไม่นาน ทว่าเพียงได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อารมณ์ที่ชื่นบานของนางกลับพลันมลายหายอย่างไม่หลงเหลือร่องรอย ทั้งมีเพียงความหวั่นวิตก ความหวาดกลัว ความรู้สึกที่นางไม่เคยได้สัมผัสกลับเบียดบังเข้ามาในห้วงใจ หวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับเขาผู้นั้น
ไป๋หู่ยังไม่ทันมีโอกาสขยับปากเอ่ยถาม เสียงโวยวายของจูเฉวี่ยกลับแทรกขึ้นมา “นางแพศยา เจ้านั่นล่ะคือผู้ที่ทำร้ายนายท่าน ! หากเจ้าไม่ยั่วยวนนายท่าน เขาคงไม่ต้องอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายเช่นนี้ ! เจ้ามันสมควรไปตายซะ นางสารเลว !”
***จบตอน เกิดอะไรขึ้นกับหนานกงยวี่ ?***