นัยน์ตาของหนานกงยวี่สุกสกวาวไปด้วยความอิ่มเอมยินดี นางแจ้งชัดแก่ใจว่าไม่สมควรให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้ ทว่านางกลับยินดีเปิดเผยเรื่องนี้แก่เขาอย่างง่ายดาย !
สาวน้อยปากแข็ง ถึงเพียงนี้แล้วนางยังกล้าดื้อดึงปฏิเสธว่ามิได้ชอบเขาอีก
เกอซีตรวจดูอาการของหนานกงยวี่อีกคราจนเมื่อมั่นใจแล้วว่าสภาพร่างกายยามนี้ไม่มีอาการป่วยที่น่ากังวลใด หญิงสาวจึงมอบทิพย์ธาราให้เขาอีกจำนวนหนึ่งก่อนจะเรียกชิงหลงเข้ามาสั่งการ
ครั้นเมื่อเกอซีกล่าวว่านางยังมีเรื่องสำคัญที่จำต้องกลับไปสะสางจึงต้องขออำลาไปก่อน คงไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าหนานกงยวี่กลับรีบฉวยข้อมือนางไว้ด้วยสีหน้าที่เศร้าสลดเพียงเมื่อได้ยินถ้อยคำลาจาก
เส้นโลหิตดำบนหน้าผากของเกอซีปรากฏเด่นชัด จนเมื่อนางยอมตกปากรับคำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะรีบกลับมาหาเขาอีกในวันพรุ่งนี้ ชายหนุ่มจึงยอมปล่อยตัวนางออกมา
ชิงหลงเดินตามไปส่งเกอซี ทั้งยังแอบลอบเหลือบมองใบหน้ายามนี้ของนายท่านซึ่งคงความสุขุมลุ่มลึกนิ่งเฉยเฉกเช่นเดิม มันช่างแตกต่างจากท่าทางออดอ้อนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง แค่เพียงคิดก็อดมิได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
****
ยังไม่ทันที่เกอซี และชิงหลงจะออกจากส่วนที่พักของหนานกงยวี่ ทั้งคู่ก็ได้พบกับไป๋หู่ หวูซิน จูเฉวี่ยและพวกที่เหลือซึ่งยังคงรั้งรออยู่หน้าประตูด้วยอาการกระวนกระวาย
การเยียวยารักษาอาการของหนานกงยวี่ได้ดูดกลืนพลังชีวิตของนางไปอย่างเหลือล้น ยังอีกทั้งอุณหภูมิภายในห้องที่แปรเปลี่ยนจากร้อนระอุอย่างหนักหนากลายเป็นสภาวะอากาศที่สดชื่นเย็นสบายเช่นนี้ทำให้ใบหน้าของเกอซีซีดเซียวไร้สี ความอ่อนล้าปรากฏชัดบนดวงหน้า
ครั้นเมื่อจูเฉวี่ยได้เห็นท่าทางอิดโรยเช่นนั้นก็ยิ่งครึ้มอกครึ้มใจด้วยคิดว่าตนย่อมเป็นผู้ชนะเดิมพันครานี้อย่างแน่นอน นางจ้องเกอซีด้วยแววตาที่เหี้ยมโหดคิ้วทั้งสองกดเข้าหากันจนปรากฏร่องลึก จูเฉวี่ยตรงปรี่เข้าหาชิงหลงเพื่อส่งเสียงไต่ถามดังลั่น “ชิงหลงนางไม่อาจรักษาอาการของนายท่านใช่ไหม ? ครานี้การรักษาอาการของนายท่านกลับยิ่งยืดเยื้อออกไปอีก เช่นนี้ยิ่งทำให้สภาพร่างกายต้องบอบช้ำหนักหนายิ่งขึ้น เจ้าจะแบกรับได้อย่างไร ?”
ผู้ถูกตั้งคำถามกดสายตาลงมองอีกฝ่ายด้วยความเยาะหยัน ทว่าสีหน้าท่าทางของเขากลับไร้สิ้นเครื่องแสดงอารมณ์กระทั่งยากยิ่งนักที่จะให้คาดเดาความคิดความรู้สึกยามเมื่อเขากล่าวตอบ “จูเฉวี่ย เจ้าหวังจะให้พระชายาไม่อาจรักษาอาการให้นายท่านได้เสียเหลือเกิน ในสายตาของเจ้า ความปลอดภัยของนายท่านยังมีค่าความสำคัญน้อยกว่าจิตใจด้านหยาบช้าของเจ้ากระนั้นหรือ ?”
“หยุดวาจาสามหาวของเจ้าเดี๋ยวนี้ !” จูเฉวี่ยแผดเสียงร้องตะคอกลั่น “เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้ามันหัวอ่อนมัวแต่เชื่อใจหญิงสารเลวนั่นกระทั่งทำให้นายท่านต้องตกอยู่ในอันตรายโดยแท้ เจ้ากลับยังเรียกนางแพศยานั่นว่าพระชายาอีก เจ้าหลงเสน่ห์ยั่วยวนของมันไปอีกคนแล้วใช่ไหม ?”
ขุมพลังที่เย็นยะเยือกระเบิดผ่านทางสายตาของชิงหลงวาบหนึ่ง ปลายกระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักเข้ามากุมมั่นอยู่ในมือ ชายหนุ่มฟาดกระบี่ตรงเข้าหาจูเฉวี่ยอย่างไม่ไยดี
จูเฉวี่ยเพียงรู้ว่ามีขุมพลังอันมหาศาลพุ่งตรงเข้าปะทะร่างของตนปานประหนึ่งภูผาใหญ่กดทับลงบนร่างกระทั่งนางทรุดลงไปคุกเข่ากระอักโลหิตออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดขาว
“เจ้า…เจ้า…..” สุ้มเสียงของนางสั่นเครือ ก่อนจะกระอักโลหิตคำโตออกมาอีกครา และทำให้นางไม่อาจกล่าวคำใดได้อีกอย่างแท้จริง
หวูซินรีบสาวเท้าก้าวตรงเข้ามาเร่งไต่ถามด้วยความร้อนใจ “อาการนายท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ชิงหลงชำเลืองมองเกอซีคราหนึ่งก่อนจะตอบคำเพียงแผ่วเบา “นายท่านรู้สึกตัวแล้ว เพียงสามวันให้หลังอาการก็จะคืนสู่สภาวะปกติ ข้าได้เห็นนายท่านกับตาจึงสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้”
เพียงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของพวกหวูซินค่อยคลายความกังวลใจ เมื่อความรู้สึกที่หนักอึ้งบนสองบ่าถูกปลดลงไปแล้ว ความตึงเกร็งที่ปรากฏทั่วทั้งร่างจึงค่อยผ่อนลงไปด้วย
แม้ว่านายท่านจะเป็นหนุ่มน้อยวัยแค่เพียงยี่สิบ หากนำมาเทียบกับพวกเขาบางคนซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานกว่าแล้ว ย่อมสามารถกล่าวได้ว่านายท่านนับว่ามีอายุรุ่นราวคราวลูกหลานสำหรับบางคน ทว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นายท่านสามารถใช้พลังฝีมืออันล้ำเลิศผนวกกับสติปัญญาอันชาญฉลาดก้าวขึ้นสู่การเป็นเสาหลักแห่งตำหนักราชันมัจจุราช และกองทัพกิเลนเหล็ก หากไม่มีนายท่านเกรงว่าคนเหล่านี้คงเสมือนมังกรหัวกุดที่โผบินอย่างไร้ทิศทางโดยมิอาจรู้ได้ว่าสมควรกระทำสิ่งใด
***จบตอน ฟื้นคืนภายในสามวัน***