มุมปากเกอซีกระตุก นางรีบโต้กลับ “ผู้ใดบอกบอกเจ้าว่าไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องเป็นชายาของเจ้า ?”
หนานกงยวี่เลิกคิ้วสูง “เจ้าไม่ต้องการ ?”
อีกฝ่ายถลึงตาดุกลับ “พวกเราเพิ่งรู้จักกันแค่เพียงเดือนเดียวเท่านั้น….”
“อา ! จริงสิ เราเพิ่งรู้จักกันแค่เพียงชั่วขวบเดือน ทว่าเราทั้งโอบกอด ทั้งจุมพิตอย่างดูดดื่ม ซีเอ๋อ เรามีความสัมพันธ์แนบสนิทชิดใกล้ถึงเพียงนี้เจ้ายังมีใจกล่าวว่าพวกเราเป็นเพียงคนแปลกหน้าอีกกระนั้นหรือ ?”
เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นเต็มหน้าผากฝ่ายหญิง นี่เขากล่าวอะไรออกมา โอบกอดรึ ? จุมพิตรึ ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าข้าเป็นฝ่ายถูกบังคับ !
หนานกงยวี่เอนกายลงมากระซิบใกล้ข้างใบหู “ซีเอ๋อไม่เต็มใจจะมาเป็นชายาเป็นภรรยาที่ถูกต้องของข้ากระนั้นหรือ ?
อุ่นไอร้อนจากลมหายใจของบุรุษกระทบผ่าวอยู่ข้างหู ใบหน้าที่หล่อเหลาหาใดปานขยับแนบชิดใกล้ หัวใจของเกอซีเต้นกระหน่ำจนอกแทบระบิด ใบหน้าค่อย ๆร้อนผ่าวแดงระเรื่อขึ้นเรื่อย ๆ “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้าเต็มใจหรือไม่….”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความเปรมปรีดิ์ “โอ ! เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้ายินดีใช่ไหม ? เพียงซีเอ๋อยินยอม ที่เหลือย่อมมิใช่ปัญหา ข้าสุขใจยิ่งนักที่พวกเราต่างเห็นพ้อง”
“ผู้ใดเห็นพ้องกับเจ้ากัน ? !” ปลายคิ้วงามขมวดเข้าหากันแสดงถึงความไม่สบอารมณ์
ชายผู้นี้กลายเป็นพ่อจอมกะล่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน ! ครั้งแรกที่ได้พบกัน เขาคือทรราชผู้หล่อเหลาเหี้ยมโหดมิใช่หรือ !
หนานกงยวี่รีบขยับย้ายที่เข้ามานั่งข้าง ๆ เกอซีอย่างคล่องแคล่วว่องไวก่อนจะค่อย ๆ วางมือลงบนเอวอ่อนที่เพรียวบางของอีกฝ่าย “เอาล่ะ ชายาแห่งข้า ครานี้่เจ้าจะร่วมโต๊ะกับข้าได้แล้วหรือยัง ? เห็นไหม ข้าเตรียมสำรับชุดพิเศษไว้ให้เจ้าตั้งมากมาย เจ้ายังไม่ได้แตะแม้เพียงน้อยด้วยซ้ำ หรือเจ้าไม่ไยดีข้าแล้ว ?”
เมื่อบ่าวไพร่บริวารทั้งหลายได้เห็นสีหน้าท่าทางโอนอ่อนเอาใจของท่านอ๋องที่ช่างตรงกันข้ามกับอุปนิสัยโดยปกติของพระองค์แล้ว แต่ละคนต่างตกตะลึงจ้องค้างจนลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า ทุกสายตารวมลงที่เกอซีปานประหนึ่งพวกเขาได้พบเจอสิ่งมีชีวิตที่พบเจอได้ยากยิ่ง
พระชายา จะอย่างไรก็คือพระชายาอย่างแท้จริง ! พวกเขาไม่เคยเห็นท่านอ๋องประจบประแจงเอาใจหรือแสดงท่าทีรักใคร่เอ็นดูผู้ใดเช่นนี้มาก่อน
เมื่อหญิงสาวรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา ใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงก่ำไปถึงใบหู นางหันควับจ้องอีกฝ่ายตาเขียวปัด “เอามือออกไป !”
“ไม่” ชายหนุ่มตอบกลับทันควันปานประหนึ่งเป็นสิ่งอันควรยอมรับได้ว่าเขาย่อมสามารถแตะต้องตัวนางได้
“ต่อไปพระชายากับข้าจะร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ พวกเจ้าไม่ต้องอยู่คอยดูแลรับใช้ ออกไปให้หมด”
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง แต่ละคนล้วนพร้อมน้อมปฏิบัติตาม ทุกคนรีบถอนตัวออกอย่างเร็วรี่ เพียงไม่นานที่เสวยพระกระยาหาร ณ พลับพลาริมน้ำก็เหลือแค่หนานกงยวี่กับเกอซีแต่เพียงลำพัง
ชายหนุ่มรีบกล่าวคำ “เช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดมารบกวนพวกเรา ซีเอ๋อไม่ต้องเหนียมอายแล้ว”
ผู้ใดเหนียมอาย ? ! เหนียมอายเจ้าสิ ! เหนียมอายบ้านเจ้าสิ !
หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากจะกระโดดถีบพ่อหนุ่มไร้ยางอายผู้นี้สักพลั่ก
ทว่าชายหนุ่มรีบทำเสียงเศร้าคอตก “ซีเอ๋อเมื่อวานเราเพิ่งจะตกลงกันแท้ ๆ เมื่อข้าลืมตาตื่นขึ้นก็อยากเห็นหน้าเจ้า ข้ารอเจ้ามาตั้งแต่เช้า เจ้าน่าจะรีบมาปลอบขวัญข้าไม่ใช่หรือ ?”
เมื่อหญิงสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่นางจะออกจากตำหนักราชันมัจจุราชเมื่อวานนี้ ใบหน้าของนางพลันแดงฉาน “ใครใช้ให้เจ้ารีบตาหูเหลือกตื่นมาแต่เช้าเล่า ? เช่นนี้หากเจ้าดันโผล่ตื่นขึ้นมากลางดึก ข้ามิต้องคอยอยู่เฝ้าเจ้าทั้งคืนกระนั้นหรือ ?”
“เป็นความคิดที่ดีมากเลย” นัยน์ตาของเขาเป็นประกาย “จริงด้วย เจ้าคือชายาของข้า สมควรอยู่ในตำหนักแห่งนี้ร่วมกับข้าจึงจะเหมาะสม ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที….”
นางลุกลี้ลุกลนรีบเอื้อมมือไปปิดปากเขาเป็นพัลวัน “เจ้าจะทำอะไรอีก ?”
ชายหนุ่มปลดมือน้อย ๆ ลงมากุมไว้อย่างอบอุ่นพลางตอบคำด้วยท่าทีด้อยเดียงสา “ก็สั่งให้คนไปจัดเตรียมห้องหับไว้ให้เจ้า โอ้ ! ต้องข้าง ๆ ห้องข้าสิดี ! เอ……หรือเรามานอนร่วมเตียงกันดีกว่าไหม ซีเอ๋อ ? นั่นล่ะที่เปิ่นหวางรอมานานแล้ว !”
เกอซีเริ่มเห็นแล้วว่าเขาชักจะเริ่มรุกหนักข้อขึ้นทุกที นางรีบร้องขัดให้วุ่นวาย “พอแล้ว ๆ ! เช้าตรู่ไก่โห่ขนาดนี้ยังมาคิดอะไรบ้า ๆ ! รีบปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้เลย !”
ชายหนุ่มยังไม่ยอมละมือ หากแต่กลับเหยียดแขนตระกองโอบรอบเอวรั้งร่างของนางเข้ามาใกล้ “ให้ปล่อยนั้นย่อมได้ ทว่าข้าเฝ้ารอเจ้ามาตั้งแต่เช้า เช่นนั้นซีเอ๋อต้องปลอบขวัญข้าเสียก่อน”
***จบตอน ช่วยปลอบขวัญ***