ครั้นเมื่อสตรีในชุดขาวได้ยินเช่นนั้นนางจึงถ่ายถอนลมหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก ทว่ายังไม่ทันที่ความประหวั่นผ่านแววตาคู่นั้นจะเลือนหายไป สุ้มเสียงของเกอซีกลับถูกส่งติดตามมาอีกครา “เจ้าไม่ต้องห่วงพิษผนึกผืนปฐพีไปหรอก เพราะสิ่งที่เจ้าต้องห่วงคำนึงถึงควรจะเป็นเรื่องนับจากนี้ข้าจะลงมือเช่นไรกับเจ้าเสียมากกว่า”
พร้อมกันนั้นปลายนิ้วของเกอซีชี้ตรงไปยังกระบี่เหินเวหาที่หล่นอยู่กับพื้น ด้ามกระบี่อันเคยเป็นของสตรีในอาภรณ์สีขาวเบื้องหน้ามาแต่เดิมกลับพุ่งเข้ามาอยู่ในมือของเกอซีในทันที
เมื่อได้กวัดแกว่งปลายกระบี่แหวกอากาศเพื่อทดสอบพลานุภาพไปสองสามครั้ง เกอซีตบแตะปลายกระบี่กับใบหน้าของสตรีผู้นั้น
เพียงอายความเย็นแห่งเหล็กกล้าอันความคมกริบของปลายกระบี่กระทบเนื้อผิวแก้มเนียนสีหน้าของนางก็ซีดเผือดด้วยความขยาดกลัว “เจ้าจะทำอะไร ?”
มีสตรีใดไม่ห่วงความงามของตนบ้างเล่า ? ล้วนไม่มีอิสตรีใดไม่รู้สึกหวาดผวาเมื่อโฉมหน้าของตนต้องตกเป็นเหยื่อเคราะห์ร้าย
น้ำเสียงเย็นชาของเกอซีเอ่ยตอบ “พูดมา ผู้ใดใช้ให้เจ้ามา ? หากเจ้ายอมบอกแต่โดยดีข้าจะไม่ทำให้ร่างกายของเจ้าบุบสลาย”
ประกายตาแห่งความตื่นตระหนกฉายพาดผ่านแววตาของนางคราหนึ่งก่อนสุ้มเสียงตะคอกใส่จะก้องขึ้น “จะอย่างไรข้าก็ต้องตายอยู่ดี เหตุใดจึงต้องบอกเจ้า !”
“โอ้ ช่างกล้าหาญชาญชัยเสียจริง” เกอซีชักปลายกระบี่กลับ เดาะลิ้นเล็กน้อยก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำ “ทว่าเจ้าไม่รู้หรือว่าการสังหารคนนั้นมีวิธีการหลากหลายเพียงไร ? หากศีรษะของเจ้าถูกบั่นลง เจ้าก็เพียงตายตกไป…. หากเจ้าถูกถลกหนังทั้งเป็น เจ้าคงยังตายตกเช่นเดิม แม้นหากถูกเฉือนเข้ากลางลำตัว เจ้าย่อมต้องสิ้นใจเช่นกัน ….. เจ้าคิดว่าวิธีการทั้งหลายเหล่านั้นให้ความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันจริง ๆ กระนั้นหรือ ?”
ใบหน้าของสตรีในชุดขาวไร้สีประหนึ่งซากศพมีชีวิต เกอซีเพียงเปรยกระบวนการที่เรียบง่ายแสนสามัญในการสิ้นใจเท่านั้นเนื้อตัวของนางกลับสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยความหวาดหวั่นเสียแล้ว เมื่อไม่อาจฝืนกลั้นความรู้สึกภายในไว้ได้อีกต่อไป เสียงด่าทอตะคอกลั่นจึงดังขึ้น “เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือผู้ใด ? หากเจ้าลงมือสังหารข้า เจ้าจะไม่มีวันหลบหนีได้พ้น ข้า…”
ถ้อยวาจาชะงักลงในฉับพลัน สตรีในอาภรณ์สีขราวสะอาดกัดริมฝีปากของตนแน่น นางปฏิเสธที่จะเอ่ยกล่าวต่อไป
มุมปากของเกอซีขยักยกโค้งขึ้น “รู้ไหมว่าอาหารจานโปรดของข้าคืออะไร ?”
สตรีในชุดขาวยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เกอซีจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเข้ามาสู่เรื่องอาหาร กระนั้น นางยังคงไม่กล้าปริปาก คงเพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่วางตาเท่านั้น
เกอซีแถลงไขความข้องใจของนาง “อาหารยอดโอชารสของข้านั้นคือ มัจฉาร่างกระรอก* ที่ชื่อว่าปลากระรอกบินนั้นหาใช่เพราะมันคือเนื้อกระรอกไม่ ทว่ามันคือเนื้อปลาสด ๆ เริ่มจากเฉือนเนื้อปลาสด ๆ ออกเป็นชิ้นบาง ทว่าสำคัญยิ่งกว่านั้นต้องไม่ให้เนื้อปลาที่เฉือนหลุดร่อนออกมาได้ คงต้องให้ติดไว้กับตัวปลา ก่อนจะตักน้ำมันเดือด ๆ ราดใส่ทางด้านบน เสียงของมันจะดัง ซี่ ซี่ ซี่ คล้ายเสียงกระรอกไม่ผิดเพี้ยน ความโอชะจากความสดของชิ้นเนื้อที่ยังดิ้นกระดกอยู่บนปลายลิ้นนับเป็นสุดยอดแห่งสุนทรีย์รสที่นักปรุงอาหารทั้งหลายล้วนไม่อาจยับยั้งอารมณ์ไว้ได้”
ใบหน้าของสตรีในชุดขาวยิ่งซีดขาวหนักหนากว่าแต่ก่อน ยิ่งได้เผชิญกับอารมณ์ที่เผยผ่านดวงตาของเกอซีคู่นั้นยิ่งทำให้ขนหัวลุกชูชัน
หากทว่าคำกล่าวสำทับต่อมาของเกอซีกลับยิ่งช่วยเขย่าขวัญให้นางเกือบสิ้นสติไม่สมประดี “ข้าย่อมรู้กระบวนการขั้นตอนดีอยู่ ให้ข้าช่วยทำให้เจ้าได้กลายเป็นมนุษย์มัจฉาร่างกระรอกเป็นอย่างไรเล่า ? เริ่มจากเฉือนชิ้นเนื้อบนร่างเจ้าให้เป็นริ้ว ๆ ให้ได้ความบางเสมอกัน พวกมันจะได้ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ จากนั้นข้าจะนำเจ้าขึ้นย่างบนกะทะเหล็กยักษ์ ค่อย ๆ เทน้ำมันเดือด ๆ ลงไป อืม แม้ข้ายังไม่เคยทำมนุษย์มัจฉาร่างกระรอกตัวใหญ่เช่นนี้มาก่อน ทว่าวางใจเถิด รสชาติของมันจะต้องยอดเยี่ยมนับเป็นภักษาจานพิเศษอย่างแน่นอน”
กล่าวจบ เกอซีก็เริ่มส่งสายตาสำรวจไปทุกตารางนิ้วบนผิวพรรณของอีกฝ่าย ประหนึ่งกำลังคาดคำนวณวัตถุดิบชั้นเลิศที่กำลังจะกลายเป็นสำรับยอดโอชะ
สตรีชุดขาวผู้นั้นหวาดผวาจนแทบจะทรุดลงไปร่ำไห้กองอยู่กับพื้น น้ำเสียงของนางแตกกระจัดกระจาย “เจ้าไม่กล้าหรอก ! เจ้าไม่กล้าทำเช่นนั้นกับข้า….”
แทบยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องตะคอก ปลากระบี่ยาวในมือของเกอซีกลับโบกสะบัดแทรกผ่านอากาศ
“อ๊า อ๊า อ๊า—-” นางกรีดร้องโหยหวนทั้งน้ำมูก และน้ำตาไหลหลั่งท่วมใบหน้า
ที่ซึ่งเดิมเคยเป็นพวงแก้มละเอียดเนียน ยามนี้กลับกลายเป็นชิ้นเนื้อบางห้องต่องแต่งยืดยาวถึงลำคอเผยให้เห็นเนื้ออ่อน ๆ สีชมพูภายใต้ชั้นหนังด้านใน
ทว่าแปลกยิ่งนักที่แม้ปากแผลจะใหญ่เยี่ยงนี้ กลับไม่ปรากฏหยาดโลหิตที่หลังล้นออกมาแม้เพียงน้อย
เสียงหัวเราะอ่อนบางของเกอซีดังขึ้น “ยังจะบอกว่าข้าไม่กล้าอีกหรือไม่เล่า ?”
สิ้นคำกล่าว เกอซีขยับกายเข้ามาชื่นชมชิ้นเนื้อหนังบางนั้นให้ใกล้สายตา “ดูเหมือนความบางจะยังไม่เยี่ยมนัก ไม่ได้ลงมือทำมัจฉาร่างกระรอกมานานมือไม้ของข้าคงแข็งไปเสียหน่อย น่าจะลองเฉือนดูใหม่อีกสักชิ้น”
*มัจฉาร่างกระรอกคือการนำปลาทั้งตัวออกเลาะก้างโดยที่ชิ้นเนื้อยังคงติดกับส่วนหาง โดยจะเฉือนส่วนเนื้อในแนวขวางก่อนจะลงทอดด้วยน้ำมันท่วมซึ่งเนื้อที่ถูกเฉือนบางจะบานออกได้รูปลักษณะคล้ายกระรอกบิน น้ำซอสที่ใช้ราดจะมีสีแดง และออกรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย สีแดงนับเป็นสีมงคลของชาวจีน เช่นนั้นแล้วน้ำจิ้มชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันตรุษจีน อาหารสำรับนี้จึงเป็นอาหารที่มักถูกจัดขึ้นโต๊ะในภัตตาคารหรูในมณฑลเจียงซู มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า mandarin squirrel fish ภาษาจีนคือ 松鼠鱼 [Sōngshǔ yú] ซงสู่หยวี
[center][img]https://s14.postimg.org/cphwarr1t/songshu-guiyu.jpg[/img][/center]
เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อน ฮ่องเต้ต้องการเสวยปลาคาร์พหากแต่นั่นนับเป็นการผิดกฏที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นในฐานะองค์จักรพรรดิ พระองค์จึงทรงหาทางออกด้วยการสั่งต้นเครื่องให้จัดสำรับปลาคาร์พขึ้นโต๊ะเสวย พ่อครัวจำต้องทำปลาคาร์พให้หน้าตาไม่เหมือนปลาคาร์พ โดยชักกลเม็ดเด็ดพรายทุกประการเข้ามาร่วม ทำให้เมนูปลาชุดนี้ดูคล้ายกระรอกที่กำลังบินอยู่แทน
ขณะที่อีกตำนานเล่าขานกล่าวกันว่า ขณะที่ฮ่องเต้เฉียนหลงออกประพาสทางใต้พระองค์เห็นปลาคาร์พที่แหวกว่ายอย่างเริงร่าจนออกนอกหน้าตัวหนึ่งพระองค์จึงทรงเห็นว่าพลังชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความสุขของมันย่อมทำให้เนื้อของมันมีรสชาติที่ดีเยี่ยม พระองค์สั่งให้จับมันขึ้นมาปรุงเป็นอาหารในทันที หลังความพยายามในการจับมันขึ้นมาแล้ว พ่อครัวยังหมายจะคงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าของมันให้ยังอยู่ในสภาพเดิมจึงใช้วิธีการราดน้ำมันเดือดใส่เนื้อที่เฉือนบางเพื่อให้เนื้อบานฟูให้ความรู้สึกที่ตื่นตัวดั่งมีชีวิต บ้างกล่าวว่า ชื่อของเมนูสำรับนี้มาจากเสียงดัง ซี่ซี่ซี่ ยามเมื่อน้ำมันเดือดถูกราดลงบนเนื้อปลา
***จบตอน มนุษย์มัจฉาร่างกระรอก***