แม้เปลวเพลิงจะยังคงไม่มอดดับไป ทว่า เปลวเพลิงน้ำแข็งสีน้ำเงินนั้นกลับหดห่อขนาดของมันลงคล้ายมันต้องการหลบเลี่ยงหลีกประกายเปลวสีทองเสมือนหนึ่งมันไม่กล้าแม้เพียงเข้าใกล้ เสมือนหนึ่งมันทำได้แค่เพียงยืนหดค้อมตัวด้วยความอ่อนน้อมอย่างหวาดกลัวอยู่ข้าง ๆ
ความตื่นตระหนกประหลาดใจฉายพาดผ่านดวงหน้าของเฟิ่งเหลียนอิ่ง ติดตามมาด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวไปด้วยความเกรี้ยวกราดใส่เกอซี
พลังเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่โชติช่วงของนางคือพลังปราณเพลิงขั้นห้า ด้วยระดับของพลังเปลวเพลิงที่ทรงอานุภาพถึงเพียงนี้ เมื่อใดที่มันปะทะกับเปลวเพลิงขั้นต่ำเตี้ย เปลวเพลิงนั้นย่อมกลืนกินเปลวเพลิงพลังต่ำต้อยเหล่านั้นจนสิ้นสูญ หากทว่าปราณเพลิงของหนุ่มน่ารังเกียจผู้นี้ไม่เพียงไม่ดับมอดเท่านั้น มันกลับสามารถบั่นทอนกำลังความแรงกล้าของพลังเปลวเพลิงน้ำแข็งน้ำเงินลงได้ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ? !
ที่สุดแล้ว เปลวเพลิงนี้อยู่ในขั้นใดกันแน่ ? ทั้งผู้ใดคือผู้ที่ช่วยส่งเสริมให้คนผู้นี้สามารถหล่อหลอมพลังปราณเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ ?
อย่าบอกนะ….ว่าคือ….พี่ยวี่ ? แน่แล้ว ต้องเป็นพี่ยวี่อย่างแน่นอน ! หากไม่ได้พี่ยวี่คอยช่วยเหลือสนับสนุน มีหรือที่เด็กหนุ่มผู้มีพลังปราณเพียงขั้นเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มจะมีความสามารถ และได้รับโอกาสมากมายถึงเพียงนี้ ?
ยิ่งคิด อายกระแสอันรุนแรงแห่งการเข่นฆ่ากลับยิ่งท่วมท้นทวีขึ้นในใจของเฟิ่งเหลียนอิ่ง กระทั่งแทบจะอดยั้งใจที่หมายจะตรงไปบั่นหัวชายผู้อยู่ตรงหน้าไว้มิได้
ทว่าในยามนี้ เปลวเพลิงน้ำแข็งสีน้ำเงินภายในเตาหลอมได้รับการยอมรับเข้าสู่กระบวนการทดสอบแล้ว สายควันสีเทาจางลอยพุ่งขึ้นก่อนจะรวมตัวหลอมลงสู่กลางหว่างคิ้วของเฟิ่งเหลียนอิ่ง
หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาวเข้าไปอีกสองสามคราเพื่อพยายามข่มระงับความหมายมุ่งสังหารภายในใจของตนก่อนจะลงนั่งขัดสมาธิบนผืนผ้าเบื้องหน้า และเริ่มเข้าสู่กระบวนการทดสอบการเป็นผู้สืบทอด
นับแต่ได้เข้ามาสู่ห้องรับช่วงสืบทอดอันเปล่าโล่งแห่งนี้ เฟิ่งเหลียนอิ่งก็เห็นเกอซีนั่งขัดสมาธิอยู่ในระยะห่างออกไป
ในยามนี้ ตลอดทั่วทั้งหน้าผากของเกอซีปกคลุมไปด้วยเม็ดหยาดเหงื่อ ริมฝีปากทั้งคู่สั่นเทาเล็กน้อย คล้ายกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างหนักหน่วงที่รุมเร้า ริมฝีปากที่เคยชุ่มชื้นแดงระเรื่อยามนี้แตกระแหงไร้สีสัน
และดังเช่นกับที่เคย ภายในห้องอันว่างเปล่านี้ ภาพประดับแห่งจิตวิญญาณของจื่อจินพลันปรากฏขึ้นมาเพื่อประกาศให้นางเตรียมพร้อมรับบททดสอบแรกเริ่มแห่งการเป็นผู้รับช่วงสืบทอด
ใบหน้าของเฟิ่งเหลียนอิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นางผงกศีรษะรับ และเพียงไม่ช้านาน ภาพประทับแห่งจิตวิญญาณของจื่อจินพลันสลายไปพร้อมขุมพลังอันเย็นยะเยือกปานประดุจแท่งน้ำแข็งที่ตรงเข้าโอบล้อมตลอดทั่วทั้งเรือนกายของหญิงสาว
เพียงครู่ถัดมา ใบหน้าของเฟิ่งเหลียนอิ่งพลันเปลี่ยนสีพร้อมเสียงกรีดร้องประดุจหยาดโลหิตกำลังพุ่งกระจาย
เจ็บปวด…..ทรมานยิ่งนัก ! เสมือนท่อนกระดูกตลอดถึงเส้นชีพจรทั่วทั้งร่างกำลังฉีกขาด ควมเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้ย่อมหาใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาสามัญทั่วไปจะทานทนรับไว้ได้
นับแต่เยาว์วัยกระทั่งเติบใหญ่ ช่วงชีวิตของเฟิ่งเหลียนอิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้ความขัดข้อง นางคือสตรีรุ่นเยาว์ผู้ได้รับการยกย่องในฐานะผู้มีพรสวรรค์อันล้ำเลิศผู้หนึ่ง ผู้คนมากมายล้วนห้อมหน้าล้อมหลังหมายเอาอกเอาใจประคบประหงม ไหนเลยจะเคยได้รับความเจ็บปวดทรมานเยี่ยงนี้ ?
หรือหนุ่มน้อยผู้ชื่อว่าซีเย่วที่ยังนั่งตรงข้ามกับนางนี้ก็กำลังฝืนกลั้นอดทนต่อความเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้ดุจกัน ? เป็นไปได้อย่างไร ?
ความเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้จะเรียกว่าเป็นเพียงบททดสอบได้กระนั้นหรือ นี่มันความทรมานที่พร้อมจะกระชากวิญญาณผู้คนให้หลุดลอยออกจากร่างเสียมากกว่ามิใช่หรือ ? กระทั่งตัวนางเอง ผู้มีพลังฝีมือขั้นสี่ ปฐพีสะท้านสะเทือนยังไม่อาจทานทนได้ แล้วผู้ไร้ฝีมือซึ่งมีพลังปราณแค่เพียงระดับหนึ่งเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มจะสามารถเหลือรอดชีวิตไปได้อย่างไร ? เจ้าหนุ่มน่ารังเกียจนั่นจะได้ขาดใจตายอยู่ในบททดสอบการรับช่วงสืบทอดนี้อย่างแน่อนอน
มุมปากของเฟิ่งเหลียนอิ่งยกขึ้นเผยรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย ขณะที่ฝ่ามือของนางขยับควักเม็ดโอสถโยนใส่ปากตน
แค่เพียงไม่ช้านาน ความเจ็บปวดตลอดทั่วทั้งเรือนกายพลันมลายหายสิ้นไม่เหลือแม้ร่องรอย ใบหน้าของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกอันแสนภาคภูมิพร้อมเสียงหัวเราะอ่อนเบา “ดียิ่งนักที่ท่านอาจารย์ได้ตระเตรียมของสิ่งนี้ไว้ให้แก่ข้าแต่เนิ่น ๆ แค่เพียงเม็ดโอสถผงวิญญาณนี้ผ่านล่วงพ้นลำคอไป ข้าก็ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับการผลาญจิตหลอมร่างอีกแล้ว เพียงเท่านี้ ข้าก็สามารถผ่านบททดสอบนี้ได้อย่างง่ายดาย”
ส่วนเจ้าหนุ่มผู้มีนามว่าซีเยว่ผู้นี้มีพลังปราณแค่เพียงขั้นเมล็ดพันธุ์เพาะบ่ม คิดหรือว่าจะเหลือชีวิตหลุดรอด ? ดูเอาเถิดว่ามันต้องทุกข์ทรมานสักเพียงไร เห็นทีมันคงฝืนทนได้อีกเพียงไม่นาน ที่สุดแล้วตำแหน่งผู้สืบทอดวังจื่อจินก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของนาง
เฟิ่งเหลียนอิ่งยกยิ้มอย่างเยาะหยันก่อนจะปิดเปลือกตาลงนั่งเพ่งกระแสสมาธิจิตเพียงเพื่อจะให้การทดสอบสามารถดำเนินต่อไปถึงจุดสิ้นสุดลงได้อย่างง่ายดาย อ่านโดจิน doujinza.com
ช่วงขณะเดียวกันนั้นเอง ความเจ็บปวดอย่างเหลือแสนปานประหนึ่งความทุกข์ทนในขุมนรกโลกันตร์ก็กำลังรุมเร้าเข้าใส่เกอซี
เส้นชีพจรทั่วทั้งร่าง ข้อต่อทุกส่วน ตลอดถึงหยาดโลหิตทุกหยดคล้ายกำลังถูกแผดเผา พร้อมกับแช่แข็งขึ้นพร้อมกัน ทั้งยิ่งไปกว่านั้นคือความทรมานปานประดุจถูกฝูงมดกัดแทะไปทั่วทั้งร่าง ร้าวระบมทุกข์ทนกระทั่งอยากส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน อยากจิกข่วนเกาเนื้อตัวทั่วทั้งร่างของตนเพื่อช่วยลดทอนบรรเทาความเจ็บปวดอย่างเกินจะเอื้อนเอ่ยที่ต้องประสบพบเจอ
ทว่าแม้สภาพร่างกายจะเจ็บปวดทรมานอย่างเหลือแสนสักเพียงใด หากสภาพจิตใจของนางกลับแจ่มชัดกระจ่างนับแต่เริ่มแรกตั้งต้นแห่งการทดสอบ เสมือนทั้งสองส่วนถูกแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง ภายในใจของนางยังคอยย้ำเตือน ให้ยืนหยัดอดทนฝืนอดกลั้นด้วยจิตใจที่เข็มแข็งให้ยิ่งขึ้นไปอีก !
***ความเจ็บปวดทรมานแห่งการผลาญจิตหลอมร่าง***