สายตาอันเฉยชาชองเกอซีย้ายส่งไปทางเฟิ่งเหลียนอิ่ง “เทพธิดาบัวเยือกแข็ง ข้าผ่านการทดสอบครานี้ หากเจ้าไม่เต็มใจกลืนยาพิษเม็ดนี้ เช่นนั้นย่อมหมายความว่าเจ้าเตรียมใจพร้อมสละตำแหน่งผู้รับการสืบทอดแล้ว”
“มีหรือที่ข้าจะล้มเลิกความตั้งใจ !” เฟิ่งเหลียนอิ่งร้องตะโกนโต้อย่างไม่เต็มเสียง หากทว่าทั่วทั้งใบหน้ากลับแดงก่ำ “ก็แค่เพียงค้นหายาถอนพิษเท่านั้น ! เจ้าคิดว่าเพียงเท่านี้ข้าก็จะพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าแล้วกระนั้นหรือ ? !”
พร้อมกันนั้น นางเทเม็ดโอสถออกจากขวดกระเบื้องเคลือบสีแดง หากขณะกำลังจะส่งผ่านล่วงริมฝีปากไป ความประหวั่นภายในใจกลับเผยผ่านดวงตาคู่นั้นอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือกล้วยไม้งูพิษทะลวง เพียงกลืนกินมันลงไปตลอดทั่วทั้งเรือนกายจะปรากฏเกล็ดงูขึ้นปกคลุมอย่างน่าเกลียดน่ากลัวประดุจสัตว์ร้าย
ครั้นเมื่อเกอซีเห็นเฟิ่งเหลียนอิ่งหวาดกลัวจนหน้าซีดจึงยกขวดกระเบื้องเคลือบสีแดงใบเปล่าของตนขึ้นเขย่าไปมาพลางเอ่ยกล่าวอย่างสบายใจ “เทพธิดาบัวเยือกแข็ง อย่าได้กล้ำกลืนฝืนใจตนไปเลย หากไม่กล้ากลืนยาพิษก็จงยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเสียจะดีกว่า !”
“ใครว่าข้าไม่กล้าเล่า !” ยิ่งโดนยั่ว อีกฝ่ายก็ยิ่งเกรี้ยวกราดจนรีบพรวดพราดกลืนยาพิษลงไปอย่างลืมตัว
ริ้วลายเส้นสีแดงปรากฏขึ้นบนท่อนแขนละเอียดงามในทันที ลายเส้นที่ลุกลามเลยไปประดุจเส้นสายแห่งความตายค่อย ๆ คืบคลานตรงเข้าสู่เนื้อหัวใจ
ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งเหลียนอิ่งเผยแสดงความหวาดกลัวอย่างที่สุด นางขยับเคลื่อนกายเปิดฝาหายาถอนพิษประดุจคนบ้าคลั่งกระทั่งขวดกระเบื้องเคลือบกระแทกชนกันส่งเสียงเคร้งครั้ง
ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งเวลาจวนเจียนจะหมดลงแล้ว หากทว่านางกลับยังไม่อาจพบเจอยาถอนพิษได้เลย
“อ๊า—- ! ข้ายังไม่อยากกลับกลายเป็นคนน่าเกลียด !” ยิ่งได้หันมาเห็นผิวบนหลังมือก็ยิ่งยากทานทนจะรับได้ ร่างของนางทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น “ช่วยข้าด้วย ! ท่านเจ้าวังจื่อจิน ช่วยข้าด้วย !”
เพียงทว่าท่านเจ้าวังกลับไม่มีเจตนาจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่นางแต่ประการใด รอยยิ้มอย่างอ่อนโยนยังคงประดับอยู่บนดวงหน้าดังเช่นแต่ก่อนมา มุมปากของเขาขยับเอื้อนเอ่ย “ด่านทดสอบทุกด่านล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ทำหน้าที่รับช่วงสืบทอดต้องกระทำให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ จะมอดม้วย หรือเหลือรอดชีวิต ล้วนเป็นไปตามโชคชะตาวาสนา หรือความอัปโชคของพวกเจ้า เช่นนั้น ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่ข้าจะต้องให้การช่วยเหลือเจ้า !”
เฟิ่งเหลียนอิ่งจ้องหน้าท่านเจ้าวังจื่อจินก่อนจะหันไปหาเกอซีผู้ยืนชมอยู่อย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกที่บริเวณด้านข้าง ด้วยแววตาที่เคียดแค้นชิงชังคนทั้งคู่ นางกัดกรามแน่นกระทั่งฟันแทบจะแหลกคาปาก
ที่สุดนางจำต้องยอมกัดฟันคว้าประคำสีเงินยวงขาวผ่องเม็ดน้อยที่ซุกซ่อนไว้ในกายตลอดเวลาออกมาจิกเป็นเศษเล็กเศษน้อยละเลงลงบนเปลือกตา
เพียงครู่ ดวงตาของนางกลับเปล่งประกายเรืองรอง สัมผัสจิตที่อ่อนแรงกลับเพิ่มกำลังขึ้นในทันที
ครั้นเมื่อหันไปมองเม็ดโอสถสีดำที่นางเทลงมาเมื่อครู่ ดวงตาของนางพลันเปล่งประกาย เฟิ่งเหลียนอิ่งรีบคว้าเม็ดโอสถเม็ดหนึ่งขึ้นกลืนลงลำคอไปอย่างไม่รีรอ
เพียงยาถอนพิษถูกส่งผ่านเข้าในร่าง เส้นสายสีแดงดำที่แผ่อยู่บนหลังมือของนางกลับค่อย ๆ จางหายไปในทันที จุดตันเถียนที่เริ่มร้อนระอุค่อยคลายคืนกลับสู่สภาวะปกติ ที่สุดอาการพิษทั้งหลายจึงได้รับการเยียวยารักษาได้อย่างทันท่วงที
เจ้าวังจื่อจินหัวเราะเพียงบางเบาก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทั้งสองที่สามารถผ่านการทดสอบครั้งที่สองได้อีกครา หากทว่า ผลที่ออกมาย่อมไม่อาจตัดสินได้อย่างแน่ชัดว่าผู้ใดคือผู้ที่เหมาะสมจะรับช่วงสืบทอดรุ่นต่อไป เช่นนั้นพวกเราจำต้องรอชมผลการทดสอบในรอบที่สามต่อไป”
แม้จะได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเกอซียังคงความเฉยชาไร้อารมณ์
หากแต่กลับกันกับเฟิ่งเหลียนอิ่งผู้กำแขนแน่นก้มหน้าก้มตานิ่ง ช่วงระหว่างการทดสอบเมื่อครู่ นางใช้ประคำจิตกระจ่างอันสูงค่าที่ท่านอาจารย์มอบไว้ให้ น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ของวิเศษชิ้นนี้สามารถใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และหากมันถูกนำไปใช้ในการต่อสู้ย่อมจะสามารถเพิ่มพลังความสามารถให้แก่พลังจิตสัมผัสของนางอย่างไร้ขอบเขตจำจัด เพิ่มความรวดเร็ว เสริมความกระจ่างชัดให้แก่สัมผัสทั้งห้า นับเป็นอาวุธอันน่าเกรงขามที่สามารถช่วยชีวิตยามวิกฤติ หากทว่าไม่คาดคิดเลยว่านางกลับต้องควักของวิเศษชิ้นนี้ขึ้นมาใช้กับสถานการณ์เช่นนี้ !
ยังอีกทั้งกว่าที่นางจะสามารถขจัดพิษออกจากร่างได้นั้นใช้ระยะเวลานานเกินไป แม้รอยเกล็ดงูบนเนื้อผิวโดยส่วนใหญ่จะเลือนจางหายไปแล้ว หากทว่ากลับยังคงหลงเหลือร่องรอยหมองดำคล้ำบนท่อนแขนข้างซ้ายทิ้งไว้ เฟิ่งเหลียนอิ่งผู้หมดจดงดงามอยู่เสมอ ยามนี้กลับมีริ้วรอยมลทินบนข้อมือซ้ายไปเสียแล้ว ! เป็นไปถึงเพียงนี้จะให้นางทำใจยอมรับอย่างไรได้ !
***จบตอน ความเป็นความตาย***