เกอซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เพียงคมกระบี่เชือดเฉือนมิใช่เป็นการดูหมิ่นเพิ่งเหลียนยิ่งเกินไปหรือ ? วางใจเถิด ความอดทนของข้านับว่าล้ําเลิศสิ่งที่มีเหลือเฟือคือเวลาไว้ข้าจะค่อย ๆ คิดบัญชีคืนจากนางที่ละเล็กละน้อย”
ครั้นเวลาที่หยุดชะงักใกล้จะสิ้นสุดลง เกอซีจึงเร่งมือจัดการกับผู้คนทั้งหลายที่ยังอยู่ในอาณาจักรกําบัง
แม้เกอซีจะมิได้แตะต้องร่างของผู้ใด ทว่านางย่อมสามารถเคลื่อนย้ายทุกผู้คนได้ตามประสงค์
ของวิเศษซึ่งเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายเก็บไว้ในธ์มรงค์เวทของตนย่อมเป็นสิ่งที่เกอซียากจะฉกฉวย หากทว่าสิ่งใดที่ พวกเขาสวมใส่ไว้ภายนอกหรือเก็บงําไว้ในอุ้งมือ นางย่อมสามารถ หยิบฉวยออกได้ราวคนเหล่านั้นคือผู้หยิบยื่นส่งให้แก่นางเอง
มุมปากทั้งสองของหญิงสาวพลันขยับยกเป็นรอยยิ้มอันร้ายกาจนางกวาดตามองโดยรอบในหัวพลันประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนของเพิ่งอวิ่นจึงสามารถเข้าถึงตําแหน่งที่ตั้งพฤกษาธารทิพย์ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผละออกจากอาณาจักรไม้ขจีล้วนเป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นได้กระทําตามอุบายลับที่อาวุโสผู้แปรสภาพธาตุแห่งตระกูลเพิ่งเป็นผู้ชี้นําไว้แต่แรก
หากแต่พฤกษาธารทิพย์นั้นได้รับการพิทักษ์ปกป้องจากสัตว์เวทอสูรขั้นห้าถึงเจ็ดตน แต่ละตนล้วนมีพลังวัตรเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ปฐพี่สะท้านสะเทือน
เฟงอวิ่นนิ่ง เพิ่งเหลียนยิ่งตลอดถึงเหล่าศิษย์สํานักหลิวหลีล้วนสูญเสียพละกําลังไปมากจึงสามารถกําราบสัตว์เวทอสูรทั้งเจ็ดลง
ได้
ยิ่งเมื่อเข้าสู่อาณาบริเวณของพฤกษาธารทิพย์ นัยน์ตาทั้งคู่ของเพิ่งอวิ่นจึงพลันฉายประกายด้วยเหตุบางปะการหากเพียงเขาสามารถครอบครองพฤกษาต้นนี้ ผลกระทบอันเกิดจากการกลืนกินโอสถเพื่อส่งเสริมพลังฝีมือเป็นจํานวนมากจนเกินไปล้วนถูกขจัดและเมื่อเป็นเช่นนั้น ตระกูลเพิ่งย่อมสามารถก้าวขึ้นสู่ตําแหน่งสูงสุดในแถบทวีปหมีหลัว
เมื่อเวลานั้นมาถึงย่อมไม่มีผู้ใดในใต้หล้ากล้าต่อกร หรือคิดเป็นปรปักษ์กับเขาอีก
ทุกสิ่งที่เขาต้องการ ทุกคนที่เขาหมายมั่น ล้วนต้องตกเป็นของเขาอย่างง่ายดายราวเอื้อมมือคว้า
ถ้วนทุกคนในที่นั้นต่างตื่นเต้นยินดี กระทั่งไม่ใส่ใจจะเก็บกวาดซากสัตว์เวทอสูรทั้งเจ็ดพวกมันควักพลั่วอาคมขั้นเก้าออกเตรียมขุดถอนพฤกษาธารทิพย์
หากทว่าผ่านไปแค่เพียง 1 เค่อ* เพิ่งอขึ้นจึงกลับต้องประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
*1 เค่อหมายถึง 15 นาที
เพียงปลายมือของเขาสัมผัสใบพฤกษาธารทิพย์ ผืนนภาพลันปั่นปวนพื้นปฐพี่สะท้านสะเทือน ครั้นเขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกคราภาพฉากเบื้องหน้าพลันแปรเปลี่ยน
เสียงสัตว์เวทอสูรร้องคํารามก้องฟ้า เสียงของพวกมันดังกระที่ร้องรับไล่เรียงกันอย่างไม่ขาดสาย
สิ่งที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าพวกมันหาใช่สัตว์เวทอสูรขั้นห้าทั้งเจ็ดอีกต่อไปไม่ หากกลับกลายเป็นสัตว์เวทอสูรนับแสน พวกมันล้วนเป็นสัตว์เวทขั้นสี่บ้าง ขั้นห้าบ้าง ทั้งยังมีสัตว์เวทขั้นหกรวมอยู่ในนั้นด้วย
ไม่แต่เพียงเท่านั้น เมื่อยามนี้พวกมันล้วนมิได้อยู่เบื้องหน้าพฤกษาธารทิพย์อีกต่อไป หากทว่าพวกมันพบว่ายามนี้พวกมันกลับเข้ามาอยู่ในทะลายทรายอันเวิ้งว้าง
สีหน้าของเฟงอวิ่นจึงพลันแปรเปลี่ยน เขาเตรียมชักอาวุธขึ้นต่อสู้กับเหล่าสัตว์อสูร ทว่ากลับต้องตื่นตระหนก เมื่อพบว่าอาวุธซึ่งเดิมเคยอยู่ในมือตนกลับเลือนหายอย่างไม่รู้สาเหตุ
ทั้งปรากฏว่า เพิ่งเหลียนยิ่ง เนียจินเฉิน ตลอดถึงเหล่าศิษย์สํานักหลิวหลีต่างตกอยู่ในสถาณการณ์เดียวกัน
เพิ่งเหลียนยิ่งหวาดผวากับเสียงร้องคํารามของเหล่าสัตว์อสูรงหลายนับแต่แรกแล้ว ส่วนอาวุธป้องกายในมือของนางก็หายไปนานแล้วเช่นกันยามนี้หญิงสาวจึงยิ่งขวัญผวาเมื่อพบว่าตนไม่เหลือเวลามากพอให้หยิบอาวุธใดออกจากธํามรงค์เวท เมื่อเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายกําลังกรูเข้าใส่
“อ้า อ้า อ้า
ข้ายังไม่อยากตาย !”
นางกรีดร้องพลางรีบคว้าตัวศิษย์ร่วมสํานักเข้ามาบังไว้เบื้องหน้า
เพียงได้ยินเสียงฉีกกระจุย ร่างของศิษย์สํานักหลิวหลีผู้นั้นก็ถูกกระชากขาดเป็นท่อนอย่างน่าสยดสยองคนผู้นั้นยังไม่ทันส่งเสียงก็กลับต้องกลายเป็น
เศษเนื้อกองโตไปเสียแล้ว
เนียจินเฉินไม่ทันตั้งตัวรับมือเหล่าสัตว์อสูรเช่นกันยามนี้เขากําลังถูกเหล่าสัตว์เวทอสูรขั้นห้าล้อมกรอบ ชายหนุ่มตื่นตระหนกหวาดผวาครั้นได้เห็นการกระทําของเพิ่งเหลียนยิ่ง เขาก็รีบคว้าตัวศิษย์ร่วมสํานักอีกสองคนมายืนบังร่างของตนด้วยสัญชาติญาณ เช่นกัน
พลังฝีมือของเฟงอวิ่นจึงสูงส่งกว่าเนียจินเฉินและเพิ่งเหลียนยิ่งเช่นนั้นเขาจึงสามมารถชักอาวุธชิ้นใหม่ออกมาเข่นฆ่าสังหารเหล่าสัตว์อสูรที่ตรงเข้าตะลุมบอนจากทุกทิศทาง
เพียงทว่าจํานวนของสัตว์อสูรเบื้องหน้ามีมากมายเหลือคณาทั้งเมื่อร่างของพวกเขาล้วนแผ่กลิ่นอายของพฤกษาธารทิพย์ย่อมเป็นเหตุกระตุ้นให้เหล่าสัตว์เวทอสูรตื่นตัวเข้าจู่โจมกระทั่งยอดฝีมีอดังเช่นเพิ่งออิ่นจึงยังไม่อาจทําให้พวกมันล่าถอยกลับไปได้
***จบตอน ค่อย ๆ คิดบัญชี***