เกอซีส่ายศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ ทว่ากลับได้ยินเสียงประท้วงจากต้านต้าน “ฮือ…. ท่านแม่ไม่รักต้านต้านแล้ว…..หากท่านแม่ให้ของกินกับพี่ชายใหญ่ที่ท่านแม่เล่นไล่จูบด้วยต้านต้านก็ไม่ว่ากระไร ทว่าเหตุใดท่านแม่กลับนำไปให้ผู้อื่นด้วย ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันเป็นของต้านต้านนะ ฮือ..ฮือ… ท่านแม่ไม่รักต้านต้านแล้ว !”
เจ้าหนูนี่เพ้อเจ้ออะไร ?
*****
เพียงไม่นานชิงหลงก็นำทางเกอซีมาถึงพลับพลาริมน้ำ ยามนี้ผลึกหินเพลิงในพลับพลาริมน้ำทั้งหมดถูกนำออกไปแล้ว โดยรอบจึงโปร่งตาอากาศไหลเวียนถ่ายเทได้อย่างสะดวก สายลมพัดโชยชายผ้าปลิวไสวให้ความรู้สึกที่เย็นสบายน่าพิงกายลงพักผ่อน
เพียงก้าวเข้าสู่พลับพลาริมน้ำ นางก็เห็นหนานกงยวี่ผู้สวมใส่ชุดคลุมซึ่งทอจากผ้าแพรต่วนสีขาวบริสุทธิ์กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ปอยผมครึ่งหนึ่งถูกปล่อยระลงประบ่า ส่วนอึกครึ่งถูกมวยขึ้นด้านบนรัดรวบด้วยเชือกถักไหมเงิน มองจากด้านข้างนางสามารถเห็นจมูกที่โด่งขึ้นเป็นสันคมบนดวงหน้าที่หล่อเหลาบริสุทธิ์สะอาดของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน เพียงทว่าสีหน้ายังแลดูซีดเซียวอยู่บ้าง
แม้เกอซี และชิงหลงจะเข้ามาถึงด้านในแล้ว ทว่ากลับดูราวกับหนานกงยวี่ยังไม่ทันรู้ตัว แผงขนตายาว และดกหนาคู่นั้นกดต่ำลงเล็กน้อย ตลอดทั่วทั้งดวงหน้าให้ความรู้สึกที่เปราะบางอ่อนแอ ทว่ากลับงดงามจับสายตา
ความเจ็บปวดอย่างยากจะพรรณนาพลันหลั่งล้นท่วมท้นในใจของเกอซี นางไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้อ่อนแอถึงเพียงนี้มาก่อน เขาสมควรจะทรงพลัง อาจหาญแกล้วกล้าสมความเป็นจอมเผด็จการมิใช่หรือ เพื่อช่วยเหลือนาง เขากลับต้องมาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอถึงเพียงนี้
เกอซียกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ หนานกงยวี่เพิ่งรู้ตัว เขาเบี่ยงหน้ามาตามเสียงจึงได้เห็นหญิงสาวยืนอยู่ที่นั้น ใบหน้าที่เย็นชาพลันถูกหลอมละลายให้กลับกลายเป็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน และนุ่มนวล “เจ้ามาแล้วหรือ ?”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบไร้ความกระโตกกระตากทว่าแฝงลึกด้วยความสุขใจ และความคาดหวังจนทำหัวใจของหญิงสาวเต้นกระหน่ำรุนแรงอยู่ในอก
นางขยับกายถือสำรับอาหารเดินตรงไปหา
ผู้รับใช้ที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติดูแลอยู่ ณ พลับพลาริมน้ำตรงเข้ามารับสำรับจัดใส่ภาชนะเพื่อจัดวางบนโต๊ะอาหาร
เมื่อกลิ่นหอมฟุ้งของอาหารกระจายตลบไปทั่วทั้งพลับพลา แม้เหล่าผู้รับใช้ทั้งหลายจะได้รับการอบรมฝึกฝนมาดีเพียงใดก็อดไม่ได้ที่จะพากันสูดจมูกดมกลิ่นกันอย่างสุดกำลังพร้อมเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอด้วยใบหน้าที่พยายามสะกดกั้นความรู้สึกอย่างยากเย็นยิ่ง
เพราะผู้คนในโลกนี้ยังไม่ตระหนักถึงเครื่องปรุงรส พวกเขาปรุงภักษาพลังปราณด้วยความคำนึงถึงเพียงพลังปราณที่อยู่ในสำรับ ทั้งส่วนใหญ่ก็ได้รับแค่อาหารที่มีรสหวาน และเค็มเท่านั้น เช่นนั้นเมื่อพวกเขาได้ชิมอาหารที่เกอซีลงมือปรุงเองจึงล้วนแทบไม่อยากเชื่อว่าอาหารจะมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมได้ถึงเพียงนี้
และแน่นอนว่า ตั้งแต่ครั้งที่หนานกงยวี่ได้กินอาหารที่เรือนน้อยของเกอซี เขาก็เอ่ยปากขอให้นางจัดอาหารให้เขาบ้างอย่างไร้ยางอาย เช่นนั้นคนในตำหนักราชันมัจจุราชไม่มากก็น้อยล้วนได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า สำรับรสเลิศกันแล้วทั้งสิ้น แม้ไม่เคยมีโอกาสลิ้มลอง ทว่าจากสีสัน กลิ่น และพลังปราณเข้มข้นที่กระจายออกมา ผนวกเข้ากับเสียงชื่นชมไม่ขาดปากของไป๋หู่ ทุกคนย่อมรับรู้ได้ว่าสำรับชุดนี้นับเป็นยอดอาหารอันโอชะ ทุกครั้งที่เก็บภาชนะไปล้างทำความสะอาด เมื่อปลายนิ้วเปรอะเปื้อนด้วยน้ำซอสก็ช่างกระตุ้นความหิวให้รบกวนจิตใจยิ่งนัก
โธ่… หากพระชายาแต่งเข้าสู่ตำหนักราชันมัจจุราช แล้วสอนวิธีปรุงอาหารให้แก่พวกเขาแค่เพียงหนึ่งในสิบส่วนก็จะยอดเยี่ยมเป็นที่ยิ่ง
“ท่านอ๋อง พระชายา ขอทรงพระสำราญกับการเสวยพระกระยาหารเพคะ”
เกอซีฉุกนึกถึงการเรียกขานว่า ‘พระชายา’ ที่คอยดังก้องอยู่ในหูได้ทันที นางอดไม่ได้ต้องรีบหันไปกระซิบบอกหนานกงยวี่ “ข้าไปเป็นพระชายาของเจ้าตั้งแต่เมื่อไร ? เจ้าสมควรทำให้คนของเจ้าเข้าใจทุกสิ่งอย่างกระจ่าง บอกพวกเขาว่าห้ามเรียกข้าพระชายาอีก ให้พวกเขาเรียกข้าว่า ซีเยว่ก็พอ”
หนานกงยวี่ยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารใส่ปาก เขาหัวเราะขึ้นเบา ๆ ขณะกำลังรื่นรมย์อยู่กับความเอร็ดอร่อย และกลิ่นรสอันหอมหวน “ไม่ช้าก็เร็ว ซีเอ๋อก็ต้องมาเป็นพระชายาของข้าอยู่แล้ว ให้พวกเขาฝึกเรียกเจ้าไว้ก่อนผิดอย่างไร ? ดีเสียอีกพวกเขาจะได้คุ้นชินเสียแต่เนิ่น ๆ”
***จบตอน สมควรฝึกเพื่อความคุ้นชิน***