โจวจิ้งไปที่ห้องฝ่ายปกครองพร้อมสองหนุ่มหล่อห้องกิฟต์
ทุกคนพากันแตกตื่นเมื่อเห็นพวกเขาเดินด้วยกันบนทางเดินชั้นห้า มองเผินๆ เหมือนโจวจิ้งมีบอดี้การ์ดมาคุม แม้จะสวมรองเท้าผ้าใบ แต่เหมือนเธอกำลังเดินบนพรมแดงด้วยส้นสูงหกนิ้ว
เมี่ยเจวี๋ยนั่งดูซีรีย์จิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นโจวจิ้งเดินเข้ามา ก็เตรียมจะเล่นงานทันที แต่สองหนุ่มที่ตามมาด้วยกลับทำเธอพูดไม่ออก
ครูคนอื่นๆ ในห้องพากันวางมือแล้วจ้องทั้งสามด้วยความงุนงง
นักเลงกับเด็กเทพห้องกิฟต์เนี่ยนะ? แก๊งใหม่งั้นเหรอ?
เมี่ยเจวี๋ยไม่มั่นใจว่าควรทักทายโจวจิ้งหรือสองหนุ่มที่ด้านหลังดี สุดท้ายก็เอ่ยปากถามโจวจิ้งว่า “มีธุระอะไร?”
“มาปรึกษาเรื่องเคอเสี่ยวฝานค่ะ”
“เลิกงี่เง่าได้แล้วโจวจิ้ง!” เมี่ยเจวี๋ยพูดอย่างหัวเสีย
ในสายตาของเธอ เด็กคนนี้ไม่ต่างจากปรสิต แม้คิดอยากไล่ออกแทบตาย แต่เธอไม่ใช่เจ้าของโรงเรียน ซ้ำพ่อของโจวจิ้งยังเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของโรงเรียนอีก จึงจำใจทนดูอีกฝ่ายสร้างเรื่อง
ตลอดเวลา
“หนูไม่ได้งี่เง่า” เธอฉากออกไปด้านข้างเพื่อให้เมี่ยเจวี๋ยเห็นหน้าเฮ่อซวินและหยวนคังฉีอย่างชัดเจน “พวกเขาอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย หากไม่มีกล้องวงจรปิดมายืนยัน สองคนนี้ก็คือพยานชั้นดีที่จะบอกว่าเคอเสี่ยวฝานไม่ได้เข้าไปในห้องแล็บ”
เมี่ยเจวี๋ยถึงกับพูดไม่ออก เมื่อสองเด็กหนุ่มที่คะแนนดีที่สุดในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อย่างหยวนคังฉีและเฮ่อซวินมาเป็นพยานให้กับโจวจิ้ง
แค่เดินด้วยกันก็แปลกมากแล้ว ยังจะมาเป็นพยานให้อีก เธอจึงไม่เชื่อว่าพวกเขามาด้วยความสมัครใจ
“หยวนคังฉี เฮ่อซวิน พูดความจริงออกมา ครูอยู่ตรงนี้แล้วไม่ต้องกลัว!”
โจวจิ้งหัวเราะเย้ยหยัน “ครูกำลังคิดว่าพวกเขาถูกหนูรังแกจนสู้ไม่ได้งั้นเหรอ?”
หยวนคังฉีรีบปฏิเสธเพื่อรักษาศักดิ์ศรี “พวกผมเต็มใจช่วยไม่ได้โดนข่มขู่ครับ”
“เคอเสี่ยวฝานไม่ได้เข้าไปในห้องแล็บครับ” เฮ่อซวินสมทบ
เมี่ยเจวี๋ยทำหน้าเลิ่กลั่ก เธอรู้สึกตกใจที่พวกเขายอมพูดแทนโจวจิ้ง
“หนูสาบานว่าพวกเขาไม่ได้ถูกข่มขู่ ไม่ได้โดนซื้อใจ และไม่ได้โดนเสน่ห์ยาแฝดใดๆ”
คำพูดสุดท้ายของเธอทำเด็กหนุ่มทั้งสองสะอึกเล็กน้อย
“พวกเขาไม่ได้ช่วยหนู พวกเขาแค่พูดความจริง วันนั้นเคอเสี่ยวฝานไม่ได้เข้าไปในห้องแล็บ และไม่ได้ขโมยเงิน หนูเคยพูดแล้วแต่ครูไม่เชื่อ สองคนนี้ไม่ได้เป็นเพื่อนกับเคอเสี่ยวฝาน ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก แบบนี้ครูพอจะแก้คดีให้เขาได้ไหมคะ?”
โจวจิ้งไม่ได้เถียง แต่พูดด้วยเหตุผล ทำเอาเมี่ยเจวี๋ยกลายเป็นคนงี่เง่าแทน เมี่ยเจวี๋ยพยายามขอความช่วยเหลือจากครูคนอื่นๆในห้องฝ่ายปกครอง ซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาและแกล้งทำเป็นยุ่งกับงานตรงหน้า
เมี่ยเจวี๋ยไม่รู้จะทำอย่างไร ผู้บริหารระดับสูงก็ติดประชุมกันอยู่ จึงเหลือเธอเพียงคนเดียวที่ต้องตัดสินใจ
“เรียกหวังหานมาสอบสวนอีกรอบดีไหมครับ?” เฮ่อซวินเสนอ
หยวนคังฉียิ้มแล้วพูดเสริม “จริงด้วยครับ อีกรอบก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว”
‘หวังหาน’ คือนักเรียนหญิงที่คะแนนดีเป็นอันดับต้นๆ และเป็นเหรัญญิกของห้องกิฟต์ด้วย
หวังหานถูกเรียกมาที่ห้องฝ่ายปกครองแต่เช้า เธอใส่เสื้อยืดขาวสะอาดกับกางเกงยีน สวมรองเท้าผ้าใบขาดๆ มันผมหางม้า ดูก็รู้ว่าที่บ้านฐานะไม่ดี
ครูมักเข้าข้างเด็กที่เรียนดี เชื่อฟัง และเรียบร้อยเป็นพิเศษ ซึ่งหวังหานมีความคล้ายกับโจวจิ้งสมัยเป็นนักเรียนมาก โดยเฉพาะเรื่องปมด้อย ต่างกันตรงที่หวังหานค่อนข้างถ่อมตัว ขณะที่โจวจิ้งอยากเป็นจุดสนใจตลอดเวลา
“หวังหาน เธอเห็นเคอเสี่ยวฝานอยู่ในห้องแล็บในวันที่เงินถูกขโมยใช่ไหม?” เมี่ยเจวี๋ยถาม
หวังหานหันมองโจวจิ้ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างระแวดระวัง
ทั้งโรงเรียนรู้ว่าโจวจิ้งออกหน้าให้เคอเสี่ยวฝาน หวังหานจึงกลัวว่าจะถูกล้างแค้น
โจวจิ้งกอดอกมองอีกฝ่าย “ตลกดี วันนั้นที่ห้องแล็บฉันเห็นแค่เฮ่อซวินกับหยวนคังฉี ไม่เห็นเธอเลย วันนี้กลับบอกว่าไปที่นั่น และเห็นด้วยว่าเคอเสี่ยวฝานเป็นคนเข้าไปขโมยเงิน ถ้าตัดฉันกับเจ้าเขียวออก ก็ยังเหลืออีกตั้งสองคน ทำไมถึงไม่โทษพวกเขาบ้าง?”
เธอพูดตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงเสียดสี ทำเอาคนฟังอย่าหวังหานหวาดกลัวจนน้ำตาคลอเบ้า
แม้คำพูดของโจวจิ้งจะไม่น่าฟังแต่ก็น่าสนใจไม่น้อย ขึ้นอยู่กับเมี่ยเจวี๋ยแล้วว่าจะเลือกเชื่อเด็กห้องกิฟต์ฝั่งไหน เพราะต่างฝ่ายต่างพูดไม่เหมือนกัน
เมื่อไม่รู้จะทำยังไง เมี่ยเจวี๋ยจึงถลึงตาใส่โจวจิ้งอย่างเดือดดาล
โจวจิ้งไม่สนใจแต่กลับควักมือถือออกมา “ฉันจะโทรแจ้งตำรวจถ้าไม่ได้คำตอบ ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้เลย แต่ไม่เป็นไรนักสืบเก่งๆ มีเยอะแยะ ไม่นานคงได้รู้ความจริง เคอเสี่ยวฝานเป็นแค่
เด็กเรียนไม่เก่ง ถ้าเขาทำจริงๆ คงไม่กระทบอะไรมาก แต่ถ้าเป็นเด็กห้องกิฟต์ล่ะก็… อนาคตคงดับ น่าเสียดายเนอะ”
เธอหันไปทางหวังหาน แล้วกดเปิดสปีกเกอร์เพื่อให้ได้ยินเสียงกดเบอร์
หวังหานยืนตัวแข็งทื่อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ฮัลโหล”
ไม่ทันที่ปลายสายจะได้พูดต่อ หวังหานก็วิ่งเข้าไปกระชากมือถือออกจากมือของโจวจิ้ง
“ไม่ต้องโทรแล้ว!”