ขอบคุณเงินพันหยวนของเฮ่อซวินที่ประคองชีวิตเธอไว้ ส่วนเมี่ยเจวี๋ยก็แจ้งให้เคอเสี่ยวฝานกลับมาเรียนได้ตามปกติแล้ว
เรื่องขโมย ผู้อำนวยการออกมายืนยันด้วยตัวเองว่าเคอเสี่ยวฝานไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่ได้พูดว่าหวังหานโกหก เพียงบอกว่าตรวจสอบเรียบร้อย เงินถูกขโมยจริง และเคอเสี่ยวฝานไม่ได้เข้าไปในห้องแล็บ
เมี่ยเจวี๋ยยังคงเลือกที่จะปกป้องหวังหาน ส่วนหวังหานจะต้องชดใช้เงินก้อนนั้นหรือไม่ โจวจิ้งไม่ใส่ใจอีกแล้ว เพราะใจจดใจจ่อแต่กับการโทรหาสวรรค์เซอร์วิส และมักจะได้รับคำตอบเดิมๆ
“หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ”
พ่อแม่ของร่างนี้ไม่เคยติดต่อมาหา โจวจิ้งจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัว ชีวิตช่วงสุดสัปดาห์เลยต้องดำเนินไปแบบปากกัดตีนถีบ
ช่วงเสาร์อาทิตย์ นักเรียนของยวู่เต๋อจะไม่ค้างที่หอ นอกจากคนที่บ้านอยู่ห่างตัวเมืองเท่านั้น
โจวจิ้งเองก็อยากกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน รวมถึงไม่อยากถูกจับได้ว่าเป็นตัวปลอม จึงเลือกที่จะหางานพิเศษทำ จะได้มีเงินสำรองไว้ใช้อาทิตย์หน้าและคืนเฮ่อซวินด้วย
เฝิงเอี้ยนเก็บของตั้งแต่คืนวันศุกร์ พอเห็นอีกฝ่ายนั่งเหม่อก็อดที่จะถามไม่ได้
“อาทิตย์นี้ไม่กลับบ้านเหรอ?”
“ไม่ล่ะ” โจวจิ้งตอบโดยไม่หันไปมอง
หวังหานที่บังเอิญเดินผ่านและได้ยินพอดี เร่งเก็บของด้วยสายตาระแวดระวังและออกจากหอพักอย่างรวดเร็ว
ทั้งหอพักโล่งมาก พออยู่คนเดียวกับบรรยากาศเงียบสงบโจวจิ้งก็นั่งนึกถึงเรื่องราวในอดีต อาทิ สภาพของเธอในห้องคลอดลูกที่ตายตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง พ่อ แม่ น้องชาย และสามีสุดแสบ
โจวจิ้งคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมหัวเพื่อที่จะไม่คิดถึงอดีตอีก เพราะปัจจุบันน่าเป็นห่วงกว่า
วันรุ่งขึ้น เธอออกจากหอด้วยสีหน้ามุ่งมั่น แม้เสื้อกล้ามรัดรูปสีดำ กางเกงขาสั้นสีดำ และหมวกแก๊ปจะไม่เหมาะกับการสมัครงานเท่าไหร่
หลังนั่งรถเมล์เข้าเมืองประมาณหนึ่งชั่วโมง โจวจิ้งก็ลงจากรถด้วยความรู้สึกราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เธอเดินไปที่ยังถนนเส้นที่กำลังจัดนิทรรศการของเมืองตง
งานพวกนี้ต้องการคนแจกใบปลิว ซึ่งผู้ประกอบการก็นิยมจ้างเด็กนักเรียนมากกว่า
เธอเคยทำตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน
ผู้ประกอบการต่างปฏิเสธที่จะรับเด็กหัวทองเข้าทำงาน เพราะดูไม่เป็นมิตร เหมือนพวกธุรกิจสีเทาที่ลูกค้ามักเดินหนี
โจวจิ้งไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ปิดกั้นนี้ เพราะถ้าจริงพวกฝรั่งคงทำมาหากินไม่ได้แน่
ยืนเถียงคอเป็นเอ็น สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมจ้างเธอ
โจวจิ้งรู้สึกใจสลาย แม้จะมั่นใจว่าเป็นคนสู้งาน มีแต่คนต้องการตัว แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครรับ
บ่ายโมงแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า เธอทั้งเหนื่อยทั้งร้อนจึงเดินเข้าห้องน้ำที่ใต้ตึกเพื่อตากแอร์และสงบสติอารมณ์ ก่อนจะออกไปเดินดูป้ายประชาสัมพันธ์ต่างๆ
บนนั้นมีประกาศของคลื่นวิทยุเจ้าหนึ่งที่กำลังต้องการคนทำงานช่วงเย็นวันเสาร์-อาทิตย์
‘รายการสายลมในฤดูร้อน รับสมัครดีเจ’
พอรู้ว่าเวลาทำงานคือเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ โจวจิ้งก็ตื่นเต้นมาก ซ้ำคุณสมบัติยังตรงกับเธออีก จึงรีบโทรไปยังเบอร์ที่ระบุไว้
คนรับสายเป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าเพราะเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวันหรือเปล่า เสียงของเขาจึงงัวเงียไม่กระฉับกระเฉง แต่โจวจิ้งกลับรู้สึกคุ้นเคยมาก
ผู้ชายในสายสั่งให้ไปพบที่ห้องทำงานชั้นสาม เธอจึงเร่งฝีเท้าขึ้นไปตามนัด
จะว่าคุ้นเคยกับการเป็นดีเจก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับเธอ เพราะเคยเป็นดีเจให้กับสถานีวิทยุกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยมาแล้ว
พอถึงห้องริมสุดบนชั้นสาม โจวจิ้งก็เคาะประตู
“เชิญ”
เธอลองผลักประตูเข้าไปแล้วก็พบกับชายคนหนึ่งที่นั่งหันหลังอยู่ ในมือถือแท็บเล็ตกำลังดูรายการประกวดนางงามต่างชาติ หน้าจอเต็มไปด้วยสาวสวยเอวคอดขายาว
“สวัสดีค่ะ ฉันมาสัมภาษณ์”
ทันทีที่ได้ยิน ชายตรงหน้าก็หมุนเก้าอี้มามองเธอ
พอได้เห็นหน้าชัดๆ โจวจิ้งก็ถึงกับพูดไม่ออก
เขาอายุประมาณสามสิบปี รูปร่างผอม หน้าตาพอใช้ ไว้หนวดเครารุงรัง มีความเซอร์เล็กน้อย ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น และใส่หูฟังตลอด
อีกฝ่ายก็อึ้งไม่แพ้กันเมื่อเห็นผมสีทองของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
โจวจิ้งอยากจะกรีดร้องในใจ ตอนอยู่มัธยมปลาย เธอเอาแต่ล่าใบประกาศเกียรติคุณจนไม่มีเวลาหาแฟน พ่อกับแม่ก็ไม่สนับสนุนเรื่องนี้เช่นกัน
ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่เคยแอบชอบเพื่อนผู้ชายในโรงเรียนโจวจิ้งก็เช่นกัน
เด็กหนุ่มที่ว่าชื่อ ‘ตู้เฟิง’ ซึ่งถูกจัดให้นั่งข้างเธอ
ตอนนั้นโจวจิ้งเอาแต่หมกมุ่นเรื่องการเรียน ส่วนตู้เฟิงก็ไม่ทำอะไรนอกจากเล่นดนตรีและทำเพลง ซึ่งเธอมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จู่ๆ กลับตกหลุมรักเขาขึ้นมา
ตู้เฟิงเองก็มองว่าเธอเอาแต่เรียน ชีวิตไม่มีสีสัน แต่เมื่อได้ฟังเพลงที่ชอบ ก็มักจะแบ่งหูฟังอีกข้างให้ เพียงแค่นี้ โจวจิ้งก็หวั่นไหวปางตายแล้ว
ความรักในวัยเรียนมักจบไม่สวย เพราะหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองหลวงได้ ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปคนละทางเพราะตู้เฟิงสอบได้มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดทำให้ไม่ได้ติดต่อกันอีก
ไม่คิดว่าพรหมลิขิตจะพาพวกเขามาเจอกันอีกครั้งหลังห่างหายไปนานหลายปี แถมเจอในสภาพที่เธอเป็นเด็กนักเรียนมาสัมภาษณ์งานอีก
ขณะโจวจิ้งกำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ ตู้เฟิงก็ใช้ปากกาชี้ไปที่ผมสีทองของเธอ
“นี่… มาสัมภาษณ์งานเหรอ?”
สายตาดูถูกของอีกฝ่ายทำเธอย้อนนึกถึงสมัยที่ถูกว่าเรื่องชีวิตไร้สีสัน
“คุณครับ” ตู้เฟิงเรียกสติหลังเห็นโจวจิ้งนิ่งไป
เธอด่าตู้เฟิงในใจหลายคำก่อนจะได้สติ—ทำมาเป็นตกใจเมื่อก่อนนายก็ผมสีทอง ร้องเพลงร็อกเหมือนกันแหละ!