“มาสัมภาษณ์งานค่ะ”
โจวจิ้งรับไม่ได้ที่กำลังจะถูกตู้เฟิงสัมภาษณ์งาน
“เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ไหม?”
“เคยทำวิทยุกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยค่ะ”
ตู้เฟิงพยักหน้า แต่สายตายังคงไม่เชื่อมั่น เขาหันไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมายื่นให้
“ลองอ่านตามนี้”
โจวจิ้งขมวดคิ้วเพราะเอกสารฉบับนั้นเหมือนเรียงความมาก
“ไม่ต้องสงสัย” ตู้เฟิงยักไหล่ “รายการนี้ไม่ค่อยดัง โปสเตอร์ประกาศหาดีเจก็ติดมาสามเดือนแล้ว เธอเป็นคนแรกที่โทรมา”
หมายความว่าแค่อ่านเล่นๆ ก็ได้งานแล้วใช่ไหม? โจวจิ้งคิดในใจ
“แล้วดีเจคนก่อนไปไหนเหรอคะ?”
“เธอลาออกนานแล้ว สามเดือนที่ผ่านมาผมเป็นดีเจเอง แต่ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะสื่อสารกับคนอื่นไม่เก่ง”
สายลมในฤดูร้อน เป็นรายการเกี่ยวกับปัญหาความรัก ดีเจจึงไม่ต่างจากจิตแพทย์ที่คอยให้กำลังใจ ไม่ต่างจากถังขยะที่รอให้คนมาปลดปล่อยความไม่สบายใจ ตู้เฟิงจึงไม่เหมาะกับการทำรายการแนวนี้
“ต้องทดสอบความสามารถในการสื่อสารด้วยรึเปล่าคะ?”โจวจิ้งถามต่อ
“ไม่จำเป็น” ตู้เฟิงตอบสั้นๆ “แค่พูดชัดถ้อยชัดคำพอ”
สัมภาษณ์ลวกๆ แบบนี้ ไม่แปลกที่ไม่ค่อยมีคนฟัง โจวจิ้งบ่นในใจแล้วยกเอกสารขึ้นอ่าน
ร่างนี้มีเส้นเสียงคล้ายกับเสียงเก่าของเธอ เสียงใสแต่มีความทุ้มปนอยู่ เหมือนสายลมท่ามกลางฤดูร้อน เย็นสบาย อบอุ่น
“สายลมถูกพัดเข้าทางหน้าต่างไปยังหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ หน้าหนังสือถูกกระแสลมแง้มเปิดไปยังหน้าที่มีดอกไม้แห้งคั่นอยู่ร่องรอยที่สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิทิ้งไว้จนกลายเป็นที่คั่นหนังสือ ไม่ก็เป็นฝีมือของเจ้าของหนังสือที่ตั้งใจวางทิ้งไว้”
ตอนแรกตู้เฟิงไม่ใส่ใจที่จะฟัง แต่พอได้ยินเสียงของเธอก็ถึงกับถอดหูฟังบลูทูธออกแล้วมองหน้าโจวจิ้งอย่างไม่เชื่อสายตา
โจวจิ้งรู้สึกคุ้นเคยกับเรียงความนี้ เหมือนเคยอ่านมาก่อน
เธออ่านทุกตัวอักษรอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เสร็จแล้วก็ยื่นเอกสารคืนให้ตู้เฟิง
“คุณคะ”
พอได้สติ เขาก็ลนลานตอบ “ดี เสียงเพราะ พูดจาชัดถ้อยชัดคำ เสาร์-อาทิตย์หกโมงเย็นถึงสองทุ่มครึ่งมาทำงานได้เลย!”
โจวจิ้งลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อ “แล้ว… ค่าจ้างล่ะคะ”
“ผมให้วันละ 100 หยวน เพราะไม่รู้ว่ารายการอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ถ้าผลตอบรับดีจะเพิ่มให้อีก ตกลงไหม?”
โจวจิ้งพยักหน้าหงึกๆ “ตกลงค่ะ”
แม้จะน้อยไปหน่อย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะต้องหาเงินใช้หนี้และเลี้ยงตัวเองให้รอดช่วงนี้ไปก่อน อนาคตจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน
พออีกฝ่ายตกลงอย่างรวดเร็ว ตู้เฟิงก็พยักหน้าแล้วหันไปหยิบสัญญาในลิ้นชัก
โจวจิ้งอ่านสัญญาอย่างใจจดใจจ่อ
“ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้นะ” ตู้เฟิงทำหน้าเห็นใจ
ชาติก่อนตอนทำงานบริษัท เธอมีหน้าที่ทำสัญญาให้คนอื่นอ่าน จึงเข้าใจข้อความในนั้นเป็นอย่างดี
สัญญาของเขานับว่ายุติธรรมมาก โจวจิ้งจึงตอบกลับอย่างมั่นใจ “ตกลงตามนี้ค่ะ”
ตู้เฟิงยื่นปากกาให้เธอ “ถ้าตกลงก็เซ็นเลย”
เพียงไม่นานโจวจิ้งก็แก้ปัญหาเรื่องเงินได้แล้ว เนื่องจากเป็นคนไม่ยอมแพ้ยามต้องเจออุปสรรค ยิ่งลำบากก็ยิ่งคึก แม้งานดีเจจะต่างจากงานที่เคยทำมาก แต่เธอก็มั่นใจเต็มเปี่ยม
ตอนหยิบสัญญาพร้อมบัตรประชาชนของเธอไปถ่ายเอกสาร ตู้เฟิงก็ถึงกับชะงัก “ชื่อโจวจิ้งเหรอ?”
โจวจิ้งพยักหน้า ด้วยรู้ว่าเขาคงนึกถึงเด็กเนิร์ดสมัยเรียนมัธยมปลายขึ้นมา
“ผมมีเพื่อนชื่อโจวจิ้งเหมือนกัน”
เธอเริ่มทำตัวไม่ถูก หลังเขาชวนคุยแบบสนิทสนมมากขึ้น
“เพื่อนผมเป็นคนแต่งเอง” ตู้เฟิงชี้เรียงความที่เธอเพิ่งอ่านจบ
โจวจิ้งตะลึง—ก็ว่าคุ้นๆ ที่แท้ก็แต่งเอง!
“เพื่อนคุณเป็นนักเขียนเหรอ?” เธอแกล้งถาม
“ไม่ใช่หรอก เธอแค่ชอบเขียนอะไรพวกนี้ ผมประทับใจเลยแอบฉีกมาเก็บไว้ สุดท้ายก็เอามาเป็นบทสัมภาษณ์ของที่นี่”
ชอบก็ฉีก ไม่ถามฉันสักคำ! ขนาดขาดการติดต่อหลายปี ยังเก็บสิ่งที่ฉันแต่งตั้งแต่ตอนมัธยมเอาไว้ โรคจิตชัดๆ!
“คุณน้าตลกดีนะคะ” โจวจิ้งฝืนใจเรียก
“ตลกอะไร ผมจริงจังนะ” เจ้าตัวไม่สนใจคำเรียกนั้น
“น้าแอบชอบเธอเหรอ?”
“รู้ได้ไงเนี่ย” ตู้เฟิงยิ้ม “ตอนนั้นผมชอบเธอมาก ทั้งเรียนเก่ง ทั้งฉลาด ถึงจะหยิ่งไปหน่อยก็เถอะ เสียดายที่เธอไม่ชอบผม แต่อย่างน้อยก็ได้เรียงความมาเก็บไว้ดูต่างหน้า เดี๋ยวนะ! ทำหน้าเคลิ้มทำไม ผมไม่ได้พูดถึงคุณสักหน่อย”
โจวจิ้งรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว จู่ๆ คนที่แอบชอบก็มาสารภาพรักซึ่งๆ หน้า
“ฉัน… เอ่อ… ทำไมเธอไม่ชอบน้าล่ะ”
“ผมแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าชอบ แต่ถูกเมินใส่ เลยไม่อยากเซ้าซี้เธออีก”
โจวจิ้งกรีดร้องในใจ—แสดงออกว่าชอบงั้นเหรอ! จำได้ว่าวันๆ นายเอาแต่แกล้งฉัน ต่อว่าฉัน ไม่ก็ฉีกสมุดของฉันเล่น ความอ่อนโยนเดียวที่เคยทำคือแบ่งหูฟังอีกข้างให้!
น่าเศร้าที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่ารักข้างเดียว ถ้าตอนนั้นตู้เฟิงแสดงออกชัดเจนกว่านี้ คงไม่มีพื้นที่เหลือให้ซูเจียงไห่สามีของเธอแล้ว
ขณะกำลังสับสน ตู้เฟิงก็พูดเสียงเศร้าว่า “เธอเสียชีวิตไปแล้ว” เขาจุดบุหรี่แล้วหลับตาสูดเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆ พ่นออกมา “วันก่อนผมเพิ่งไปงานศพเธอมา” เขาคาบบุหรี่ไว้ที่ปาก แล้วยื่นมือไปเก็บเอกสารบนโต๊ะ “เพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ตาย ผมจะไม่ใช้เรียงความนี้อีก”
โจวจิ้งสงสารอีกฝ่ายจับใจ แต่ก็ฝืนยิ้มปลอบ “เสียใจด้วยนะคะ”
ตู้เฟิงหัวเราะ “ไม่ต้องปลอบใจหรอก เราไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว แค่ตอนได้ยินคุณอ่านเรียงความ ผมเผลอคิดไปว่าเธอกลับมา”
“ฉันเหมือนเธอมากเลยเหรอ?”
“เสียงเหมือน” เขาหยุดหายใจพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “แต่เธอไม่แต่งตัวแบบนี้ แล้วก็ไม่ย้อมผมสีทองด้วย”
“…”
โจวจิ้งออกจากตึกตอนหัวค่ำ ช่วงเย็นของฤดูร้อนค่อนข้างอบอ้าว แต่เธอกลับหนาวในใจ รู้สึกอัดอั้นราวกับกำลังกินมะเฟืองรสฝาดอมหวานในปาก
ไม่คิดว่าการที่ต้องพลาดคนคนหนึ่งไปสมัยมัธยมปลายจะทำให้รู้สึกเสียดายขนาดนี้ แม้ไม่ยึดติดกับอดีตมาก แต่เธอกลับเศร้าในใจ
โจวจิ้งสั่งบะหมี่เนื้อที่ร้านใต้ตึกมาหนึ่งชาม พอน้ำซุปเข้มข้นส่งกลิ่นหอมถูกเสิร์ฟที่โต๊ะ ท้องของเธอก็ร้องเสียงดัง
ไม่ทันจะได้คีบเส้นเข้าปาก เสียงมือถือก็ดังขึ้น
ยัยมั่วลี่ที่อยู่ปลายสายรีบร้อนพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ “เจ๊ ยกพวกมาช่วยหน่อย ฉันถูกล้อมแล้ว!”
“อะ… อะไรนะ?”
“แบล็คบ็อกซ์ซอยห้า ยกพวกมาเยอะๆ นะ!” จากนั้นมั่วลี่ก็ถูกแย่งมือถือไปตัดสายทิ้ง
โจวจิ้งรีบลุกขึ้นตะโกน “พี่คะ ใส่ถุงให้หน่อย!”