หลินเกาเพิ่งกลับจากการแข่งขันทางวิชาการที่ต่างจังหวัด
เขาได้ยินข่าวของโจวจิ้งทุกวัน แม้จะไม่อยากรับรู้เพราะไม่ชอบที่ถูกโยงให้ต้องเกี่ยวข้องตั้งแต่ชั้นประถมยันมัธยมปลาย แต่ไม่ว่าจะเกลียดแค่ไหน ก็ชอบมีคนมาส่งข่าวให้ฟัง
หลินเกาไม่สนเรื่องที่โจวจิ้งหาเรื่องเถาม่าน หรือแม้แต่ออกหน้าให้เจ้าเขียว ที่สนใจก็คือ เธอสนิทกับหยวนคังฉีและเฮ่อซวินตั้งแต่เมื่อไหร่?
เฮ่อซวินและหยวนคังฉีเป็นเด็กท็อปห้องกิฟต์ ซึ่งสลับกันได้ที่หนึ่งและที่สองของชั้นมาโดยตลอด มีเพียงเขาที่ไม่เคยขยับจากที่สามเลย
วัยรุ่นมักมีความอยากเอาชนะ แต่เพราะไม่เคยทำสำเร็จ ความสัมพันธ์ของหลินเกากับพวกเขาจึงเหมือนมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ แม้จะเล่นบาสด้วยกัน พูดคุยกัน แต่ก็เป็นการคบแบบผิวเผินเท่านั้น
โจวจิ้งนิสัยอย่างไร เขารู้ดีที่สุด เธอเห็นแก่ตัว ไม่เคยใส่ใจคนอื่น อารมณ์ร้อน ส่วนอีกสองคนไม่ต้องพูดถึง
เฮ่อซวินและหยวนคังฉีเข้าหาง่าย แต่อีโก้สูง ดูยังไงก็ไม่น่าเป็นเพื่อนกับโจวจิ้งได้
ถ้าไม่เห็นกับตาหลินเกาคงไม่เชื่อ เพราะพวกเขาสามคนดูสนิทสนมกันมาก ซ้ำโจวจิ้งยังพูดถึงเขาด้วยคำที่ดูเป็นธรรมชาติ หนักแน่น และจริงจังกว่าเมื่อก่อน
หลินเกาหยุดฝีเท้า ในใจก่นด่าหยวนคังฉีที่ทำให้อีกฝ่ายนินทาเขาแบบระยะเผาขน
บรรดาเด็กหนุ่มที่มากับหลินเกาไม่กล้าส่งเสียง แม้จะตกใจที่แฟนพันธุ์แท้ของหลินเกาไปชอบคนอื่นแบบพลิกฝ่ามือ
หยวนคังฉีเดินขึ้นหน้าแล้วทักทายหลินเกาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กลับมาแล้วเหรอ?”
หลินเกาพยักหน้าเล็กน้อย
โจวจิ้งนับถือท่าทางแกล้งโง่ของหยวนคังฉี คิดว่าโตไปเขาคงเป็นนักการเมืองได้อย่างแน่นอน
เธอหันมองหลินเกาด้วยความสงสัย เด็กคนนี้น่าจะสุขภาพไม่ดี ร่างกายบอบบาง ผิวขาวซีด นัยน์ตาและสีผมไม่ดำเงาเท่าที่ควร
หลินเกาเองก็มองเธอด้วยสายตาดุร้าย ราวกับกำลังต่อว่า ถ้าเป็นโจวจิ้งคนก่อนอาจร้องไห้ไปแล้ว แต่สำหรับเธอนั้นธรรมดามาก ไม่รู้สึกผิดและไม่กลัวไอ้เด็กนี่แม้แต่น้อย
เธอรู้สึกว่าโจวจิ้งตัวจริงรสนิยมแย่ จึงจ้องกลับแบบไม่แคร์สายตา
เห็นสถานการณ์ไม่ดี เฮ่อซวินจึงตัดบทด้วยการพยักหน้าให้หลินเกา แล้วหันไปถามโจวจิ้งว่า “จะไปกันยัง?”
เมื่อถูกดึงสติ โจวจิ้งก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เฮ่อซวินเป็นแนวชมว่าเขาหาจังหวะได้ดีเพราะเธอไม่อยากยืนท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดแม้แต่วินาทีเดียว
หยวนคังฉีโบกมือให้หลินเกา ก่อนจะเดินตามโจวจิ้งไปติดๆ
เดินกันไปได้สักพัก หยวนคังฉีก็ถามขึ้นว่า “เธอไม่หันไปดูหลินเกาหน่อยเหรอ?”
“มีอะไรน่าดู?”
“เลิกชอบเขาแล้วจริงอ่ะ?” หยวนคังฉีถามย้ำ “เหลือเชื่อจริงๆ!”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ” โจวจิ้งยักไหล่
“ว่าแต่… เธอไม่โกรธที่เคอเสี่ยวฝานไม่มาช่วยเหรอ?”หยวนคังฉีเปลี่ยนเรื่อง
“เขาทำไมเหรอ?” โจวจิ้งถาม
ทั้งสามเดินไปยังโต๊ะในสุดของโรงอาหาร ในมือถือโรตีคนละชิ้น
“เขาเห็นเธอมีปัญหาแต่กลับวิ่งหนี ถ้าไม่เพราะเจอเราสองคน คงกลับถึงบ้านแล้ว”
เฮ่อซวินจ้องโจวจิ้งราวกับต้องการคำตอบ
“มาก็ช่วยอะไรไม่ได้ รังแต่จะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ แบบนี้แหละดีแล้ว”
“แต่เขาเป็นลูกน้องเธอนะ?” เฮ่อซวินเสริม
อยู่แก๊งเดียวกัน แต่กลับวิ่งหนีตอนลูกพี่กำลังจะถูกรุม ก็ไม่ต่างจากการทรยศทางอ้อม
“ช่างเถอะ ถ้าเขาช่วยก็แปลว่ามีน้ำใจ แต่ถ้าไม่ช่วยก็เป็นสิทธิ์ของเขาเหมือนกัน ยังไงก็ขอบใจพวกนายมากนะ” โจวจิ้งยิ้มให้ “หน้าตาดีแล้วยังใจดีอีก ไม่เสียแรงที่ฉันเลี้ยงโรตี”
“แค่นี้ซื้อใจพวกเราไม่ได้หรอก” หยวนคังฉีบ่น “มิตรภาพของเราไม่ถูกขนาดนั้น”
“เงินหายากจะตาย เลี้ยงแพงๆ ไม่ไหวหรอก”
เฮ่อซวินได้แต่ส่ายหน้า ไม่พูดอะไรต่อ
“ไม่ต้องเลี้ยงของแพงก็ได้ แค่มาเชียร์พวกเราตอนแข่งบาสในงานกีฬาสีก็พอ”
“ไม่ต้องมาหรอก” เฮ่อซวินรีบบอกปัด
“ก็ดี เพราะฉันคงไปไม่ได้” โจวจิ้งตอบ
“ทำไม?”
“เพราะฉันก็ลงแข่งเหมือนกัน เอางี้ พวกนายมาเชียร์ฉันดีกว่า”
“เธอเนี่ยนะ?” เฮ่อซวินทำหน้าตกใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน โจวจิ้งไม่มีทางเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนนอกจากหลินเกาจะลงแข่ง แต่เขาสนใจการแข่งขันทางวิชาการมากกว่า เธอจึงไม่ไปงานกีฬาสีนานหลายปีแล้ว
มาวันนี้กลับลงแข่งกีฬาสี ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
หยวนคังฉีเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “เธอแข่งรายการอะไร ถ้าเวลาไม่ชนกัน ฉันจะไปเชียร์เอง”
“หญิงเดี่ยว 800 เมตร”
“…”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันจะสู้ให้ถึงที่สุด คืนนี้จะไปซ้อมวิ่งที่สนามด้วย!”
“จะบ้าเหรอ?” เฮ่อซวินทำหน้าตกใจอีกครั้ง ส่วนหยวนคังฉีก็ขำจนท้องแข็ง
“ดีๆๆ พวกเรามีซ้อมบาสเหมือนกัน ไว้เจอกันนะ”
โจวจิ้งพยักหน้า “ตามนั้น”
พอเธอพูดจบ หยวนคังฉีก็ดีดนิ้วแล้วลากเฮ่อซวินให้ไปด้วยกัน
“ไม่ไปโว้ย!” เฮ่อซวินโวยวายขัดขืน
โจวจิ้งยืนอึ้งสองวินาที กระทั่งเสียงออดดังขึ้นจึงรีบกลืนโรตีแล้ววิ่งเข้าห้องเรียน
ก็แค่ไปวิ่งเอง…
เธอพยายามปลอบใจตัวเอง แม้ยังไม่รู้ว่าร่างนี้พร้อมแค่ไหน