กระทู้ในยวู่เต๋อค่อนข้างคึกคัก
เนื่องจากเป็นโรงเรียนระบบปิดที่ห่างไกลตัวเมือง นักเรียนจึงออกไปไหนไม่ได้นอกจากเสาร์อาทิตย์ เลยมักเข้าเพจเพื่ออ่านกระทู้ฆ่าเวลา
กระทู้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเม้าท์มอยชาวบ้าน ซึ่งประเด็นในวันนี้ก็คือโจวจิ้งที่ซ้อมวิ่งในสนามกีฬา
เพราะยังไม่คุ้นชินกับร่างใหม่ เธอจึงมองเป็นเรื่องนอกกายที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง อารมณ์ตอนอ่านเหมือนกำลังอ่านเรื่องของคนอื่น ยิ่งอ่านก็ยิ่งมัน
นอกจากรูปที่กำลังวิ่งแล้ว ยังมีรูปสองหนุ่มใต้แป้นบาส และรูปที่เกินความคาดหมายคือรูปของหลินเกากับเถาม่านที่ยืนมองจากที่ไกล
ตัวละครหลักในเรื่องครบหมดแล้ว
ดูออกว่าเจ้าของกระทู้มีพรสวรรค์ด้านการเขียน แค่กระทู้สั้นๆ ไม่กี่ร้อยคำกับภาษาสละสลวยก็ดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้แล้ว
โจวจิ้ง เถาม่าน หลินเกา ตัวเอกของรักสามเส้า ยังมีเฮ่อซวินและหยวนคังฉีมาแทรกอีก ทำเอาคนอ่านอยากรู้อยากเห็นไปหมด
มีคนคอมเมนต์ข้างใต้ว่า ช่วงบ่ายโจวจิ้งปะทะกับหลินเกาหน้าโรงอาหาร ท่าทางจะสละหลินเกาแล้วเลือกเฮ่อซวินแทน
แล้วคอมเมนต์อีกมหาศาลก็ตามมา
ขอบคุณคอมเมนต์ทั้งหลายที่ช่วยให้เธอรู้เรื่องชิงรักหักสวาทของโจวจิ้งคนเดิมกับหลินเกา
ครอบครัวของพวกเขารู้จักกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แต่ลูกหลานของทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน
โจวจิ้งตามจีบหลินเกามานาน แสดงความเป็นเจ้าของตลอด ทั้งไม่ยอมให้ผู้หญิงอื่นเข้าใกล้ หากรู้จะตามไปตบตีทุกคน
หลินเกาคือเด็กเทพห้องกิฟต์ บ้านรวย หน้าตาดี สาวๆ แอบชอบเยอะ แต่ถูกโจวจิ้งทำตัวเป็นเจ้าของ จึงไม่ค่อยมีใครกล้าจีบ
เธอสร้างเรื่องลำบากใจให้เขามากมาย ไม่แปลกใจที่หลินเกาจะรู้สึกรังเกียจและรำคาญ
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าหาหลินเกาจะล้มหายตายจากไปเองเพราะทนพฤติกรรมน่ากลัวของโจวจิ้งไม่ไหว มีเพียงเถาม่านที่เป็นข้อยกเว้น
เถาม่านคือนางฟ้าของยวู่เต๋อไฮสคูล น้อยคนจะมีพร้อมทั้งสมองและหน้าตา ทั้งยังมีเสน่ห์และบุคลิกที่ดีงาม แต่ครอบครัวค่อนข้างลึกลับ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีคนขับรถมารับเธอกลับบ้าน มีบอดี้การ์ดคอยเดินตามตลอด
เมื่อตระกูลของเถาม่านสามารถเทียบชั้นกับตระกูลมหาเศรษฐีของโจวจิ้งได้ พวกเธอจึงไม่ลงรอยและทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ
ความสัมพันธ์ของเถาม่านและหลินเกาค่อนข้างราบรื่นพวกเขาติวหนังสือด้วยกันที่ห้องสมุดบ่อยครั้ง เลิกเรียนพร้อมกัน ต่อให้คบเป็นแฟนก็ไม่มีใครกล้ายุ่งเพราะเป็นเด็กห้องกิฟต์ทั้งคู่ ไม่เสียการเรียนแน่นอน
แม้ไม่ได้ประกาศว่าคบกัน แต่ทุกคนก็พอจะรู้ ดูจากกระทู้ในวันนี้ที่มีแต่คนเข้าข้างพวกเขา ต่างจากโจวจิ้งที่ถูกด่าว่าเป็นก้างขวางคอ เป็นสัมภเวสีที่คอยหาเรื่องคู่นี้ตลอด
โจวจิ้งไม่เห็นด้วยกับฉายานี้ รวมถึงเบื่อที่ต้องอยู่ในสังคมที่ตัดสินคนจากหน้าตา ยิ่งเธอใกล้ชิดกับหนุ่มเทพทั้งสอง ก็ยิ่งถูกด่าหนักขึ้นไปอีก
มีคนวาดแผนผังสรุปความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ลูกเพจได้อ่าน ในนั้นเล่าว่าโจวจิ้งหลงรักหลินเกาซึ่งเป็นแฟนเถาม่านมานาน แต่ตอนนี้หันมาชอบเฮ่อซวินแทน ทั้งคู่ไม่สนิทกัน ซ้ำยังเป็นคู่แข่งอีก
การที่โจวจิ้งหันไปชอบคู่แข่งของหลินเกา คือการแก้แค้นที่เจ็บแสบมาก
“เด็กสมัยนี้ว่างนักหรือไง วันๆ เอาแต่แต่งนิยาย”
เฝิงเอี้ยนขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงบ่น ส่วนโจวจิ้งก็ขยี้หัวตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์
เจ้าของร่างนี้สร้างแต่เรื่อง วิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างเธอแทบรับไม่ไหวแล้ว
สำคัญคือต้องมาหัวเสียเพราะกระทู้อันเดียว โดยคอมเมนต์ล่าสุดเขียนว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก เฮ่อซวินไม่ใฝ่ต่ำขนาดนั้น นังโจวจิ้งนี่สันดานไม่เปลี่ยนเลยนะ!”
เธอไม่อยากจะเชื่อว่านักเลงคีย์บอร์ดคนนี้เป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย ที่ไม่น่าให้อภัยก็คือ มีคนกดไลก์เป็นพันจนกลายเป็นท็อปคอมเมนต์
โจวจิ้งทนไม่ไหวจึงตอบพวกนั้นกลับไป แล้วคอมเมนต์เหล่านั้นก็หายไปในพริบตา
เธอถอนหายใจแล้วปิดเพจด้วยความหงุดหงิด กลิ้งไปมาบนเตียงโดยไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ
แม้จะผ่านไปหลายวัน แต่สายตาที่ทุกคนมองเธอก็ยังคงเหยียดหยามปนสมเพช
โจวจิ้งที่หัวเสียแต่เช้าพุ่งตัวเข้าห้องน้ำเพื่อโทรหาสวรรค์เซอร์วิส
ไม่มีการตอบรับเช่นเคย เจ้าเขียวเองก็เย็นชาใส่ เหลือเพียงมั่วลี่ที่ยังคงนับถือเธอ
วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โจวจิ้งไม่ได้กลับบ้านและไปอัดรายการเช่นเคย
การเป็นดีเจของเธอผ่านไปอย่างราบรื่น คลื่นนี้ไม่ค่อยมีคนโทรเข้ามาคุย โจวจิ้งจึงชวนคุยเล็กน้อยแล้วเปิดเพลงวนไป
วันนี้ก็เช่นกัน เธออ่านตามบทก่อนจะเริ่มเปิดเพลง
จู่ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาที่รายการ ตู้เฟิงที่กำลังหลับอยู่ถึงกับสะดุ้ง
ปลายสายพูดกับโจวจิ้งด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “สวัสดีค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ระเบียงชั้นสิบสาม แค่อยากโทรมาระบายก่อนจากโลกนี้ไป…”
ใบหน้าของโจวจิ้งซีดเผือด เธอหันมองตู้เฟิงที่กำลังยกมือส่งสัญญาณว่าจะไปแจ้งความ
“เอ่อ… คุณคะ” เธอเรียกคนที่โทรเข้ามา
“ไม่ต้องปลอบใจหรอก ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว เป็นแฟนคลับรายการนี้มานาน แต่ไม่เคยกล้าโทรสักครั้ง วันนี้ช่วยฟังเรื่องของฉันหน่อยได้ไหม? ถ้าไม่ ฉันจะกระโดด!”
แค่ฟังก็รู้ว่าปลายสายยังเด็กอยู่ น้ำเสียงสงบนิ่งไม่สื่ออารมณ์ของอีกฝ่ายทำโจวจิ้งหวั่นใจไม่น้อย
“ได้ค่ะ ว่ามาเลย”
เธอตอบอย่างมีสติ พร้อมสอดส่ายสายตาหาตู้เฟิงที่ไม่กลับมาสักที
“ฉันยังเป็นนักเรียนอยู่ วันก่อนไปดื่มเหล้ากับเพื่อน แค่แก้วเดียวก็สลบไป พอลืมตาอีกครั้ง ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม ซ้ำหลังแจ้งความยังถูกเอาชื่อไปประจานลงหนังสือพิมพ์อีก คนรอบข้างรังเกียจฉัน หาว่าเมาแล้วไปเปิดห้องกับผู้ชายทั้งที่ไม่ได้ทำ” เสียงของเธอเริ่มสั่น “เป็นผู้เคราะห์ร้ายแท้ๆ แต่กลับถูกสังคมต่อว่า ฉันเกลียดนักข่าว เกลียดผู้ชายสองคนนั้น เกลียดสังคม แล้วก็เกลียดตัวเองด้วย ความตายคือสิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่าฉันบริสุทธิ์ ความตายจะเป็นหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนผิด!”
โจวจิ้งนึกถึงข่าวนักเรียนหญิงที่ไปม่านรูดกับผู้ชายสองคนวันก่อนได้ ซึ่งการจะเรียกร้องความสนใจจากคนอ่าน พาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์จะต้องรุนแรงเข้าไว้
เมื่อมีข่าวในทำนองนี้ ผู้หญิงมักจะเสียหายมากกว่าผู้ชาย และเธอผู้ถูกกระทำชำเราทั้งร่างกายและจิตใจกลับต้องถูกสังคมประณามหยามเหยียดอีก
โจวจิ้งข่มอารมณ์โกรธแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คุณมั่นใจได้ยังไงว่าพวกนั้นจะยอมรับผิด?”
อีกฝั่งไม่ได้ตอบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังและเร็ว
“พวกเขาไม่มีทางยอมรับหรอกค่ะ ดีใจซะอีกถ้าพยานปากสำคัญตาย สุดท้ายความจริงจะถูกบิดเบือนว่าเพราะคุณละอายก็เคยฆ่าตัวตาย” โจวจิ้งเกลี้ยกล่อม
“เหลวไหล ฉันไม่ได้อายซะหน่อย!”
“ถ้าคุณตายความจริงจะไม่ถูกเปิดเผย การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการไม่หนีปัญหา เพราะต่อให้ตายปัญหาก็ยังคงอยู่ แล้วพวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจ”
กฎของการทำรายการวิทยุคือไม่พูดชี้นำหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับข่าวดัง ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูจากคนในวงการ แต่โจวจิ้งไม่แคร์ เพราะชีวิตของเด็กคนนี้สำคัญกว่า
“คุณไม่ผิด ไม่สมควรถูกสังคมซ้ำเติม คนจิตใจต่ำทรามต่างหากที่ต้องถูกลงโทษ”
ได้ยินประโยคนี้ สาวน้อยที่อยู่ปลายสายก็ปล่อยโฮ
การปลอบโยนและความเข้าใจคือสิ่งที่ผู้เคราะห์ร้ายทุกคนต้องการ ไม่ใช่การถูกประจานหรือซ้ำเติม ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงยังคงไม่เจือจางตามกาลเวลา แม้จะรู้สึกถึงการแก้ไขแบบผิวเผิน แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ปัญหาก็จะงอกออกมาให้เห็นอีก”
“คุณอายุเท่าไหร่?” โจวจิ้งถามอย่างเป็นมิตร
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับ “ยี่สิบ”
“คิดบ้างรึเปล่าว่าพ่อแม่จะเสียใจแค่ไหนถ้าต้องเสียคุณไป?”
“ฉันทำให้พวกเขาไม่มีที่ยืนในสังคม ฉันทำให้พวกเขาอับอาย…”
“เป็นความคิดของคุณฝ่ายเดียว ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกถ้าพวกเขาต้องเสียคุณไป ก็จะโทษตัวเองที่ไม่ดูแลลูกสาวให้ดีและอาจเสียใจไปตลอดชีวิต คนตายคือคนที่สบายที่สุด แต่คนที่รักเราคือคนที่ทรมานที่สุด คุณไม่ควรทำร้ายครอบครัวเพราะความผิดที่คนอื่นก่อ แต่ควรสู้ให้ถึงที่สุด ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ให้พวกที่ทำผิดต่อคุณได้เห็น”
อีกฝั่งเงียบไปนานจนโจวจิ้งกังวล แต่จู่ๆ ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “พูดน่ะง่าย แต่ฉันคงทำไม่ได้ เพราะอนาคตพังหมดแล้ว”
โจวจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าอีกฝ่ายยังตั้งคำถามได้ แสดงว่าในใจยังคงมีความหวัง ยังอยากใช้ชีวิตต่อ แค่อยากให้ใครสักคนช่วยดึงออกจากความทุกข์
“ถ้างั้น… ฉันเล่าอะไรให้ฟัง” โจวจิ้งตอบ