เธอกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “ขอเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟังได้ไหมคะ?”
“ได้ค่ะ” เด็กสาวตอบ
“พี่คนหนึ่งที่ฉันรู้จักอายุมากกว่าคุณหลายปี ครอบครัวของเธอรักแต่ลูกชาย อะไรดีๆ น้องจึงได้ไปหมด เธอดิ้นรนจนเรียนจบและได้แต่งงาน แต่ก็ถูกสามีนอกใจอีก แม้ที่บ้านจะไม่ยอมให้หย่า แต่ด้วยความที่เป็นคนเข้มแข็ง เธอในวัยสามสิบเอ็ดปี จึงตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกับลูกในท้อง ไหนจะต้องหาเงินเลี้ยงปากท้องตามลำพัง ครอบครัวก็ไม่สนับสนุน คิดว่าชีวิตของคุณดีกว่าเธอไหม?”
สาวน้อยเงียบไปครู่ใหญ่ สักพักจึงถามกลับ “ตอนนี้… เธอเป็นยังไงบ้าง?”
โจวจิ้งหัวเราะ “ถึงชีวิตจะวุ่นวาย แต่การตัดสินใจของเธอดีต่ออนาคตที่เหลือมาก คนเราเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว ไม่มีคำว่าสายเกินไปหากต้องการเริ่มใหม่ คุณอายุยังน้อย เพิ่งเริ่มต้นใช้ชีวิต อย่าละทิ้งโอกาสที่จะมีความสุขไปง่ายๆ แบบนี้สิคะ”
เธอรู้สึกถึงความลังเลของอีกฝ่าย จึงเกลี้ยกล่อมต่อ “หากจะตายเพื่อหนีปัญหา คุณจะไม่รู้สึกหลุดพ้น พอคิดได้ ก็สายไปเสียแล้ว” โจวจิ้งสูดหายใจเข้าลึก “การมีชีวิตอยู่คือโอกาส ถ้ากล้าจะฆ่าตัวตาย ก็ต้องกล้าที่จะสู้กับปัญหาเช่นกัน ฉันมั่นใจว่าครอบครัวและเพื่อนๆ ที่รักคุณจะอยู่เคียงข้างคุณเอง”
ตอนกำลังเล่า โจวจิ้งนึกถึงความรู้สึกในห้องคลอด เมื่อชีวิตใกล้ถึงจุดจบ สิ่งที่เธอเสียดายที่สุดก็คือ ‘โอกาส’ โอกาสที่จะได้มีอนาคตอย่างที่วาดฝัน โอกาสที่จะได้มีความสุขอย่างที่ต้องการ และโอกาสที่จะได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ
“แล้วฉันควรทำยังไง?” เด็กสาวถามกลับหลังเงียบไปนาน
“ถ้าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ต้องโยนสิ่งไม่ดีทิ้งไปก่อน เริ่มต้นด้วยการออกไปวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหนื่อย จนกว่าจะหิว แล้วค่อยกลับบ้านกินข้าวอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ค่อยไปหาพ่อกับแม่ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังเพื่อเป็นการปลดปล่อย เสร็จแล้วก็กลับห้องพักผ่อน ไม่โทษตัวเอง ไม่คิดอะไรทั้งนั้น แค่เชื่อมั่นในอนาคตและอย่ายอมแพ้”
พอเธอพูดจบ เสียงสะอึกสะอื้นก็ดังขึ้นกว่าเดิม
โจวจิ้งนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่ตัดสาย กระทั่งสองทุ่มครึ่ง อีกฝ่ายก็หยุดร้อง
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันจะไม่หนีปัญหาอีกแล้ว ฉันไม่ควรถูกกระทำแบบนี้ ฉันจะสู้ให้ถึงที่สุด!”
“หากมีคำถามเพิ่มเติม โทรเข้ามาได้ตลอดนะคะ ฉันจะอยู่ตรงนี้ คอยเป็นกำลังใจให้”
หลังวางสาย ตู้เฟิงก็วิ่งเข้ามาในสถานีพอดี
“แจ้งตำรวจเรียบร้อย กำลังเข้าไปตรวจสอบ ว่าแต่สิ่งที่เธอพูด… มันดีมากๆ เลยนะ”
ตู้เฟิงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าเด็กผมทองตรงหน้าจะพูดจาเป็นการเป็นงาน ราวกับผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก
ภายนอกเธอดูเหมือนเด็กมีปัญหา แต่กลับแฝงความหัวโบราณคล้ายกับโจวจิ้งที่เขารู้จัก
โจวจิ้งทั้งเหนื่อยและเครียดจึงไม่ได้ตอบอะไร ขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ที่ช่วยเด็กสาวคนนั้นไม่ได้มาก
แม้จะช่วยให้เลิกคิดฆ่าตัวตายได้ แต่โจวจิ้งรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องเผชิญกับปัญหาอะไรนับจากนี้
นี่คือผลกระทบจากคำวิจารณ์ของสังคม ไม่ต่างจากตอนที่เธอหย่ากับซูเจียงไห่ เพราะต่อให้เป็นความผิดของฝ่ายชาย ผู้หญิงก็ถูกตำหนิอยู่ดี
โจวจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอรู้สึกสบายใจที่ช่วยชีวิตคนไว้ได้
“เลยเวลามากแล้ว” ตู้เฟิงมองนาฬิกา “ให้ผมไปส่งไหม?”
“ดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องรอรถเมล์”
ตู้เฟิงขมวดคิ้ว “ไว้ใจคนง่ายเกินไปแล้วนะ ไม่รู้จักป้องกันตัวเองเลย ดึกขนาดนี้กล้าขึ้นรถไปกับผู้ชาย ไม่กลัวว่าผมจะทำมิดีมิร้ายเหรอ?”
โจวจิ้งมองบนแล้วนึกถึงสมัยเรียน แค่แมลงสาบตัวเล็กๆ เขาก็ร้องกรี๊ดแล้ว มีอะไรให้ต้องกลัวอีก?
ณ หอพักชายในยวู่เต๋อ นักเรียนหลายคนกำลังนั่งฟังวิทยุ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ไม่ได้กลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์
ไม่กี่วันก่อน ข่าวของนักเรียนหญิงที่เข้าม่านรูดกับผู้ชายสองคนโด่งดังมาก จนเด็กสาวคนนั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่ได้ดีเจของรายการ ‘สายลมในฤดูร้อน’ ช่วยกล่อมจนเปลี่ยนใจ เรตติ้งของรายการจึงเพิ่มขึ้นในชั่วข้ามคืน
หลายชั่วโมงหลังรายการจบ ทุกคนในหอพักยังคงไม่พูดอะไร วัยนี้ยังแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ออก จึงถูกสื่อชักจูงได้ง่าย แต่เรื่องในวันนี้ใหญ่พอที่พวกเขาจะฉุกคิด
หลังเงียบอยู่นาน เจ้าอ้วนก็พูดขึ้นก่อน “เปลี่ยนดีเจแล้วเหรอ ไม่เลวเลยนะ”
เขาเป็นแฟนคลับรายการนี้ตั้งแต่เปิดสถานี แม้เรตติ้งจะถดถอยลงตามกาลเวลา แต่เจ้าอ้วนก็ยังไม่หยุดฟังยิ่งได้ยินที่ดีเจคนใหม่จัดรายการ ก็ยิ่งตื่นเต้น
“สงสัยรายการนี้จะกลับมาดังอีกรอบ ไม่รู้ว่าสร้างเรื่องเรียกเรตติ้งรึเปล่า เผลอๆ ดีเจอาจอ่านตามบทก็ได้” เจ้าผอมเปิดประเด็น
“อย่ามองในโลกแง่ร้ายได้ไหม!” เจ้าอ้วนไม่พอใจ ก่อนจะหันไปถามหยวนคังฉี “เฮียหยวนคิดว่าดีเจคนใหม่เป็นไงบ้าง?”
แม้จะอ่านหนังสือไปด้วย แต่เขาก็ฟังรายการตั้งแต่ต้นจนจบ “ใช้ได้ อ่อนโยนดี”
“รู้จักคำว่าอ่อนโยนด้วยเหรอ?” เจ้าผอมถาม
“เฮียหยวนของเราชอบผู้หญิงอ่อนโยนนี่เอง จีบเลยดีไหม?” เจ้าอ้วนทำหน้ากรุ้มกริ่ม
“จะบ้าเหรอ! อายุเท่าไหร่ หน้าตาเป็นไงก็ไม่รู้ คิดว่ารุ่นน้องในโรงเรียนรึไง?” เจ้าผอมเอ็ด
“ไม่แน่นะ” หยวนคังฉีตอบแบบไม่ลังเล “ฉันอาจจีบจริงๆก็ได้”
“…”
พอกลับถึงหอพัก โจวจิ้งก็ได้รับข้อความจากตู้เฟิง
เขาบอกว่าเด็กสาวคนนั้นปลอดภัยแล้ว มีพ่อกับแม่ดูแลอย่างใกล้ชิด และกำลังจะพาไปพบจิตแพทย์
คำพูดของโจวจิ้งในรายการเป็นที่ฮือฮาบนโลกออนไลน์อย่างมาก บ้างก็สนับสนุน บ้างก็ด่าทอหาว่าเข้าข้างคนผิด แต่เธอไม่โกรธ เพราะคนสมัยนี้ถูกสื่อชักนำได้ง่าย เชื่อว่าทุกคนมีสมองในการแยกแยะ ไม่นานพวกเขาจะเข้าใจและคิดได้เอง
เธอนึกถึงคำพูดของตัวเองในวันนี้ ที่ไม่เพียงปลอบใจเด็กสาวคนนั้น แต่กลับทำให้คิดได้หลายอย่าง
โชคชะตาของคนเราไม่แน่นอน ชีวิตก็แสนบอบบาง ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละวันบ้าง จึงไม่ควรหายใจทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
สวรรค์เซอร์วิสที่ส่งเธอมายังคงติดต่อไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอควรอยู่ในร่างของเด็กเจ้าปัญหาตามยถากรรม หรือควรเริ่มต้นชีวิตใหม่ดี?
ในวัยสิบแปดปี โจวจิ้งอยากชดเชยอดีตที่ขาดหายไป แก้ไขเรื่องที่เคยผิดพลาด รวมถึงอยู่ให้มีความสุขที่สุด ไม่ใช่เพื่อครอบครัว ไม่ใช่เพื่อน้อง แต่เพื่อตัวของเธอเอง
แค่คิดเธอก็ยับยั้งความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ลุกพรวดขึ้นจากเตียงจนเฝิงเอี้ยนตกใจ
“อธิบายเรื่องสอบแบ่งห้องให้ฉันฟังหน่อย!”