โจวจิ้งตื่นแต่เช้า ส่องกระจกมองผมสีทองของตัวเองด้วยความเคยชิน ก่อนจะใช้ยางรัดไว้ไม่ให้สะดุดตา
เฝิงเอี้ยนเดินงัวเงียไปเข้าห้องน้ำ เพราะเมื่อคืนต้องอธิบายเรื่องสอบแบ่งห้องให้โจวจิ้งฟังจนดึก
โจวจิ้งคาบขนมปังแล้วเดินออกจากหอไปที่ห้องเรียน
พอตั้งเป้าหมายได้ ชีวิตต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นเยอะ แค่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง เริ่มจัดลิ้นชักท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของเพื่อนร่วมห้อง
ในลิ้นชักเต็มไปด้วยหนังสือ ที่จริงมัธยมชั้นปีที่หกจะไม่ค่อยเรียนวิชาหลักแล้ว แต่จะเน้นเทคนิคการทำข้อสอบและตะลุยโจทย์มากกว่า หนังสือที่กองอยู่ในลิ้นชักจึงเป็นหนังสือของเทอมที่แล้วทั้งหมด
ดูจากความใหม่ของหนังสือ เจ้าของโต๊ะคงไม่ได้เปิดลิ้นชักนานแล้ว
โจวจิ้งถอนหายใจแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นเช็ดฝุ่น ก่อนจะจัดหนังสือให้เข้าที่
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด อาจเพราะโจวจิ้งกำลังก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือในลิ้นชักอยู่
หลายคนที่เห็นพากันคิดว่าเธอเสียใจเรื่องหลินเกาจนสติฟั่นเฟือน แต่โจวจิ้งไม่สนใจและเอาแต่พลิกหนังสือดู
ฟิสิกส์… เคมี… ชีวะ…
เธอรู้สึกเอะใจ จึงรีบหันไปถามโต้วหยา “พวกเราเป็นเด็กวิทย์เหรอ?”
โต้วหยาพยักหน้าแบบงงๆ
“…”
โจวจิ้งเป็นเด็กสายศิลป์มาตลอด พอคิดอยากผันตัวไปเป็นเด็กเทพห้องกิฟต์ สอบได้คะแนนดีๆ ให้คนอื่นเห็น กลับถูกดับฝันตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
บ่อยครั้งที่เด็กเทพสายศิลป์ย้ายไปเรียนสายวิทย์แล้วต้องกลายเป็นเด็กบ๊วยหลังห้อง ที่น่ากลุ้มใจกว่าก็คือหากเลือกแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนได้ ทางออกเดียวคือการย้ายโรงเรียนเท่านั้น
โต้วหยามองโจวจิ้งอย่างระแวดระวัง รวมถึงสายตาของทุกคนในห้องด้วย
พอตั้งสติได้ โจวจิ้งก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก้มหน้าจัดหนังสือต่อ
เรื่องการสอบแบ่งห้องทำเธอเซ็งตลอดทั้งคาบ กระทั่งเสียงออดพักเที่ยงดังขึ้นจึงลุกออกจากที่นั่ง
ข้อเสียของโจวจิ้งคือเป็นคนดันทุรัง ดื้อดึงไม่ยอมแพ้ จนความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ราบรื่น แต่ก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง
เมื่อต้องกลายเป็นเด็กสายวิทย์ ย้ายโรงเรียนหนีก็ไม่ได้ ถ้างั้นเธอก็จะทำมันให้สำเร็จ ไม่มีใครเกิดมาเก่งทุกอย่าง แค่เริ่มต้นเรียนใหม่เท่านั้น ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับโจวจิ้ง
แทนที่จะไปกินข้าวกลางวัน เธอเลือกที่จะไปห้องสมุด หาหนังสืออ่านเตรียมสอบแบ่งห้องในอีกสิบกว่าวัน
ห้องสมุดของยวู่เต๋อใหญ่มาก ทั้งใหญ่ทั้งหรูหรากว่าทุกโรงเรียนในเมืองนี้ รวมถึงหนังสือที่มีอย่างหลากหลายด้วย
เนื่องจากเป็นเวลาพักเที่ยง จึงไม่ค่อยมีใครเข้าห้องสมุด
เมื่อเห็นว่าบรรณารักษ์วัยกลางคนกำลังฟุบหลับ โจวจิ้งก็รูดบัตรนักเรียนแล้วตรงไปที่โซนวิชาการ
แต่ละโซนมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงราย ยังมีระเบียงที่ช่วยสร้างบรรยากาศอีก ทุกสถาปัตยกรรมในนี้เกินความคาดหมายของเธอมาก
โจวจิ้งกำลังเลือกหนังสือสองสามเล่ม จู่ๆ เงาที่คุ้นเคยก็เดินผ่านหน้า
“เฮ่อ…”
พอนึกขึ้นได้ว่าห้ามส่งเสียง เธอก็หอบหนังสือวิ่งตามอีกฝ่ายไป
เฮ่อซวินยืมหนังสือไปเพื่อไปนั่งอ่านที่โซนในสุดติดระเบียงโจวจิ้งที่มาถึงอย่างเงียบๆ เขย่งเท้าแล้วสะกิดบ่าทักทายเขา
เฮ่อซวินกวาดตามองหนังสือหลายเล่มในอ้อมกอดของเธอด้วยสีหน้าคลุมเครือ “มายืมหนังสือเหรอ? แล้วหยวนคังฉีล่ะ?”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ เฮ่อซวินก็เดินหาหนังสือต่อ
โจวจิ้งได้แต่เกาหัว พอคิดจะชวนคุย เสียงหวานแหววของนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“พี่ชอบเถาม่านจริงๆ เหรอ?”
ได้ยินประโยคนี้ เฮ่อซวินกับโจวจิ้งก็ถึงกับชะงัก
พวกเขาอยู่ที่โซนในสุดของห้องสมุด ซึ่งเป็นมุมลับตาคน นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบมาที่โซนวิชาการ พอได้ยินเสียงของนักเรียนคนอื่น จึงค่อนข้างประหลาดใจ
เฮ่อซวินขมวดคิ้วแล้วทำท่าจะเดินหาหนังสือต่อ แต่ถูกโจวจิ้งรั้งแขนไว้
“ไปแอบดูกัน!” เธอกระซิบ
เฮ่อซวินหรี่ตามองอีกฝ่ายและทำท่าจะเดินต่อ แต่ถูกโจวจิ้งฉุดแขนจนเกือบล้ม แล้วลากไปที่หลังชั้นหนังสือเพื่อแอบดูสถานการณ์ตรงหน้า
ขณะกำลังจะอ้าปากพูด เสียงสูดลมหายใจของเธอก็ทำเฮ่อซวินต้องแอบดูที่ร่องหนังสือ
ภาพตรงหน้าคือหลินเกากับสาวร่างเล็กคนหนึ่งที่กำลังงอนง้อกัน
ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ เรื่องชาวบ้านคือปัจจัยห้าในการดำรงชีวิต ยิ่งเป็นหลินเกาคนที่โจวจิ้งตามจีบเป็นสิบปีด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
“ฉันตอบไม่ได้ ขอโทษด้วย” หลินเกาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คำพูดที่กำกวมรวมถึงท่าทางแสนสุภาพ ทำโจวจิ้งเข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้าของร่างถึงตามจีบผู้ชายคนนี้ได้เป็นสิบปี เด็กสาวตรงหน้าก็คงไม่ต่างกัน
“แต่ฉันชอบพี่จริงๆ นะ!” สาวน้อยร่างเล็กโผเข้าไปกอดหลินเกา
โจวจิ้งหัวใจแทบวาย มือที่เกาะไหล่เฮ่อซวินอยู่บีบแรงจนเขาส่งเสียงร้อง
“เจ็บ!”
เธอก็รีบชักมือออกแล้วควักลูกอมจากในกระเป๋าเสื้อส่งให้
“เงียบ!”