“วิธีนี้โอเคไหมคะ?” โจวจิ้งถามเหล่าคุณครูที่ยืนอึ้งกันอยู่
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปากของโจวจิ้ง เด็กมีปัญหาที่เอาแต่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ก่อเรื่องในโรงเรียนไม่เว้นแต่ละวัน จึงไม่ต่างจากโสเภณีที่ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อถามว่าพรหมจรรย์ยังอยู่ดีหรือไม่
ทุกคนที่ได้ยินยิ้มเย้ยหยันใส่เธอ โจวจิ้งจึงกอดอกแล้วหันไปพูดกับเมี่ยเจวี๋ย “ช่วยคิดโจทย์ให้หนูตอนนี้เลย จะได้ทำให้ดู!”
“โจวจิ้ง” เมี่ยเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ยอมรับผิดเถอะนะ…”
คุณพ่อเองก็ขมวดคิ้วพูดกับลูกสาว “อย่าประชดอีกเลย…” เขาเตือนเพราะรู้ว่าเธอจะต้องขายหน้าในตอนท้าย
“หนูอุตส่าห์ตั้งใจอ่านหนังสือตั้งหลายอาทิตย์ ไม่เชื่อถามหยวนคังฉีได้ เขาเป็นคนให้ยืมสมุดโน้ตมาอ่าน ในเมื่อไม่เชื่อ ก็จะทำให้ดูนี่ไง!”
สายตาของทุกคนจับจ้องหยวนคังฉีที่กำลังยิ้มแห้งอยู่ เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าการอ่านหนังสือแค่สองอาทิตย์ของเธอ จะสามารถยัดความรู้ตลอดสามปี เข้าหัวได้ แถมยังสอบได้ที่สามอีกด้วย
“ยังจะหน้าด้านท้าทายอีก!” นักเรียนคนหนึ่งตะโกนอย่างไม่พอใจ
“จะรอดูนางเก็บเศษหน้าบนพื้น!”
“อยากรู้เหลือเกิน ว่าหล่อนจะจบเรื่องนี้ยังไง!”
“ตลกสิ้นดี!”
เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วห้องฝ่ายปกครอง จนเจ้าเขียวและมั่วลี่ไม่รู้จะพูดเข้าข้างโจวจิ้งยังไง
ผู้อำนวยการยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร “อาจารย์เมี่ยจะจัดการเรื่องนี้ยังไงครับ?”
โจวจิ้งไม่แปลกใจที่เมี่ยเจวี๋ยกล้าเหิมเกริม เพราะมีหัวหน้าคอยให้ท้ายแบบนี้นี่เอง
เมี่ยเจวี๋ยเริ่มสับสน มองโจวจิ้งสลับกับพ่อของเธอด้วยแววตาลังเล
เนื่องจากพ่อของโจวจิ้งเป็นคนกว้างขวาง มีอำนาจเยอะ แถมสนิทกับผู้อำนวยการอีก เธอจึงไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนข้อเสนอของโจวจิ้ง เธอก็มองว่าอีกฝ่ายกำลังประชดอยู่
ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ครูผู้ชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ผมเห็นด้วยกับวิธีนี้ มีข้อสอบเหลืออีกตั้งหลายชุด ให้เธอลองทำดูก็ได้”
โจวจิ้งหันไปทางเจ้าของเสียง น้อยครั้งที่ครูคนอื่นจะเข้ามามีส่วนร่วมในศึกระหว่างเธอกับเมี่ยเจวี๋ย
ครูคนที่ว่าเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง ใส่แว่นกรอบทอง ท่าทางเรียบร้อย น้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้อสอบมีเยอะแยะ เธออยากทำกี่ชุดก็เลือกเลย” เขาดึงกระดาษปึกหนึ่งออกจากลิ้นชัก
เมี่ยเจวี๋ยถามต่อ “อาจารย์ฉี ข้อสอบพวกนั้น…”
“พวกนี้คือชุดข้อสอบที่รวมโจทย์ของครูหลายๆ ท่านเอาไว้ตั้งแต่ตอนปิดเทอม อยู่ในช่วงแก้ไขต้นฉบับ แต่ก็เป็นรูปเป็นร่างมากแล้ว ระดับความยากพอๆ กับชุดที่ใช้สอบแบ่งห้องครับ”
“แต่มันเป็นข้อสอบของเด็กห้องกิฟต์นะคะ เธออาจไม่ไหวก็ได้” เมี่ยเจวี๋ยแอบกัดเล็กน้อย
“ของเด็กห้องกิฟต์ยิ่งดี จะได้วัดระดับในตัวไปเลย” อาจารย์ฉียิ้มตอบ
โจวจิ้งเข้าใจในทันทีว่าชายตรงหน้าคือครูประจำชั้นห้องกิฟต์ นอกจากจะเป็นแหล่งรวมนักเรียนหน้าตาดีแล้ว ครูประจำชั้นของห้องนี้ยังหน้าตาดีอีกด้วย
เมี่ยเจวี๋ยส่ายหน้า “ไม่ได้!”
“แต่หนูจะทำ!” พูดจบก็หันไปทางอาจารย์ฉี “รบกวนช่วยตั้งโต๊ะใต้เสาธงให้หน่อยนะคะ หนูจะไปนั่งทำตรงนั้น”
“มีความเชื่อมั่นในตัวเองดีมาก” อาจารย์ฉีชื่นชม
ลึกๆ เธอรู้ว่าอาจารย์ฉีไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่แสดงออก เพราะข้อสอบของเด็กห้องกิฟต์จะยากกว่าข้อสอบของเด็กห้องปกติหลายเท่า ซึ่งข้อสอบแบ่งห้องครั้งที่แล้วจะง่ายกว่าข้อสอบในมือของเขาตอนนี้มาก เนื่องจากเด็กทั้งชั้นต้องสอบร่วมกัน เจตนาของเขาจึงมีเพื่อกลั่นแกล้งเธอเท่านั้น
เมื่อผู้อำนวยการได้ฟังการตัดสินใจของโจวจิ้งก็ถึงกับหุบยิ้ม ส่วนเมี่ยเจวี๋ยก็เหลือบมองพ่อของเธออย่างงงๆ
“ลูกโอเคจริงๆ เหรอ?” คุณพ่อถามด้วยความเป็นห่วง
“โอเค” โจวจิ้งตอบอย่างมั่นใจ “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หนูขอข้ามวิชาสามัญไปทำวิชาหลักเลยนะคะ”
เธอไม่ขอสอบได้ที่หนึ่ง แค่ให้ทุกคนเลิกดูถูกเป็นพอ ซึ่งอาจารย์ฉีก็พยักหน้าตกลง
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย บรรยากาศนอกห้องก็คึกคักขึ้นทันที
นี่เป็นข้อสอบของเด็กห้องกิฟต์ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน การที่โจวจิ้งแสดงออกอย่างมั่นใจ ทำให้หลายคนมองว่าเธอเสียสติไปแล้ว
คุณพ่อของโจวจิ้งยังคงเป็นห่วงลูกสาว แต่เจ้าตัวกลับเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
“พี่คะ ช่วยยกโต๊ะมาตั้งให้หน่อย” เธอบอกบอดี้การ์ดชุดดำ
บอดี้การ์ดสองคนจึงช่วยกันยกโต๊ะและเก้าอี้จากแถวหลังสุดของห้องเรียนออกมาวางที่หน้าเสาธงให้
“เริ่มได้หรือยังคะ?” โจวจิ้งถาม
กลายเป็นเธอที่อยู่เหนือทุกคนไปแล้ว จากตอนแรกที่ถูกกล่าวหาจนไม่มีที่ยืน ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายรุกที่เมี่ยเจวี๋ยยังต้องกลัว
แม้จะรู้สึกอึดอัดในตอนแรก เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับเด็กคนนี้ยังไง ทั้งยังต้องไว้หน้าพ่อของเธออีก แต่เมื่อโจวจิ้งเสนอวิธีนี้เอง ใครก็ต่อว่าเธอไม่ได้แล้ว
“เริ่มได้!” เมี่ยเจวี๋ยตอบ
สายตาของทุกคนที่มองโจวจิ้งไม่ต่างจากผู้ป่วยโรคจิตในโรงพยาบาลบ้า บ้างก็ซุบซิบนินทาว่าสมองของเธอได้รับการกระทบกระเทือน บ้างก็ว่าเธออกหักจนเพี้ยน
มั่วลี่ดึงแขนโจวจิ้งแล้วกระซิบเตือน “นี่มันข้อสอบของห้องกิฟต์นะเจ๊”
โจวจิ้งตบแขนอีกฝ่ายเบาๆ “ยากสิดี”
ทุกคนมีงานอดิเรกเป็นของตัวเอง ทั้งวาดรูป ฟังเพลง สะสมโปสต์การ์ด แต่โจวจิ้งกลับชอบทำแบบฝึกหัดยากๆ เพราะยิ่งยากก็ยิ่งเร้าใจ จะได้ฝึกความอดทนไปด้วย
เธอเดินไปที่หน้าเสาธง นั่งลงบนเก้าอี้ ควักปากกาออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างเงียบเชียบ
สมัยก่อนเธอทำโจทย์มากมายเพื่อให้สอบได้คะแนนดีๆ แต่ตอนนี้กลับต้องทำโจทย์เพื่อให้ได้รับการยอมรับและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นดี
นักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกไล่กลับห้องจนหมด พวกที่ต้องเรียนพละอยู่กลางสนามจึงกลายเป็นผู้คุมสอบของโจวจิ้งไปโดยปริยาย
ส่วนห้องยี่สิบซึ่งเป็นห้องบ๊วยจะเข้าเรียนหรือไม่ก็คงไม่สำคัญ พวกเขาจึงยืนดูสถานการณ์ราวกับเธอเป็นลิงในสวนสัตว์
ที่น่าตกใจก็คือ อาจารย์ฉีผู้ร้ายกาจสั่งยกเลิกสองคาบเรียนสุดท้าย นักเรียนของเขาจะได้ออกไปสำรวจการทำข้อสอบของโจวจิ้ง แล้วเอาเรื่องน่าอับอายของเธอมาเขียนเป็นเรียงความส่งวันพรุ่งนี้
เมี่ยเจวี๋ยคิดจะพูดบางอย่างกับโจวจิ้งที่กำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าเสาธง แต่เมื่อเห็นเธอสวมแว่นตาดำและเคร่งเครียดอยู่กับข้อสอบ ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงท้องไป
อากาศเดือนตุลาคมค่อนข้างเย็นสบาย ธงที่ถูกเชิญขึ้นเหนือเสาโบกสะบัดตามแรงลมอย่างเป็นจังหวะ
ที่ด้านล่าง โจวจิ้งกำลังเขียนคำตอบแบบไม่หยุดแม้แต่นาทีเดียว
“เจ๊สู้ๆ” มั่วลี่โบกมือเชียร์ด้วยความตื่นเต้น
“สู้ๆ นะ” เจ้าเขียวก็โบกมือเชียร์เช่นกัน
โจวจิ้งแทบหลุดขำออกมา แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำข้อสอบต่อ
หลินเกาและเถาม่านยืนมองด้วยสีหน้าไม่สบายใจ คนหนึ่งถูกแย่งอันดับสาม ส่วนอีกคนถูกเปรียบเทียบกับเด็กห้องบ๊วย
“อย่าบอกนะว่าหล่อนทำได้!” เถาม่านเริ่มกลัว
หลินเกาไม่ออกความเห็น เพราะรู้สึกได้ว่าโจวจิ้งไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
หากเป็นเธอคนก่อนจะไม่มีวันท้าทายกับเรื่องแบบนี้ แม้นิสัยจะงี่เง่าแค่ไหนก็ตาม
ขณะกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ใครบางคนก็เรียกเถาม่านจากทางด้านหลัง
“ม่านม่าน”
พอหันไปมองก็พบว่าเป็นพ่อของโจวจิ้ง
“รู้ไหมว่าเสี่ยวจิ้งเป็นอะไร?” เขาถาม
“ไม่รู้ค่ะ” เถาม่านตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ได้ยินคำตอบนี้ คุณพ่อจึงเลิกซักไซ้
“ทำไมเธอเขียนคล่องขนาดนั้น” เจ้าผอมตั้งคำถาม
“หรือจะเป็นพวกคมในฝัก” เจ้าอ้วนวิเคราะห์ “มั่นใจขนาดนี้ ต้องเตรียมตัวมาดีแน่นอน”
“ก็ไม่รู้สินะ จำวันที่เธอโม้ว่าคอแข็งได้ไหม สุดท้ายก็ล้มภายในแก้วเดียว” เจ้าผอมขัด
“เอาเรื่องเหล้ามาวัดกับเรื่องเรียนไม่ได้หรอก!” เจ้าอ้วนเถียงขาดใจ
คนฉลาดที่ไหนจะเชื่อว่าโจวจิ้งไม่ได้โกง แม้แต้พ่อของเธอยังไม่เชื่อเลย
“หรืออาจารย์ฉีจะแอบช่วยเธอ” หยวนคังฉีวิเคราะห์
“ไม่มีทาง!” เฮ่อซวินตอบอย่างหนักแน่น ดวงตาจับจ้องโจวจิ้งที่กำลังทำข้อสอบอย่างตั้งอกตั้งใจ
ข้อสอบสามแผ่นเต็มไปด้วยตัวหนังสือ ปกติแล้วหนึ่งแผ่นจะใช้เวลาทำประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่โจวจิ้งใช้เวลาแค่สองชั่วโมงในการทำข้อสอบทั้งหมด หลังทำเสร็จก็โยนปากกาทิ้ง ปัดมือแล้วยืนขึ้นอย่างสง่างาม
ผู้ชมที่เริ่มเบื่อหน่ายกลับมาตื่นตาตื่นใจอีกครั้งเมื่อเห็นเธอเสร็จก่อนเวลา
อาจารย์ฉียังคงเสแสร้งทำเป็นดีและถามด้วยน้ำเสียงอย่างอ่อนโยน “เป็นไงบ้าง ทำได้หรือเปล่า?”
“ทำได้ค่ะ สบายมาก” โจวจิ้งยิ้มตอบ ใจอยากจะหัวเราะให้ดังไปทั้งสนาม
อาจเพราะเคยทำโจทย์ที่ยากกว่านี้จนชิน หรือเพราะความรู้ที่มีเกินกว่าข้อสอบพวกนี้มากแล้ว จึงเป็นเรื่องขี้หมูขี้หมามากสำหรับเธอ
ให้คนระดับปริญญาโทมาทำข้อสอบของเด็กมัธยมปลาย เรื่องก็จะจบประมาณนี้แหละ!
อาจารย์ฉีเก็บข้อสอบของโจวจิ้งไปตรวจ
การสอบครั้งนี้ทำครูสอนภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ของห้องกิฟต์ไม่พอใจอย่างมาก เพราะข้อสอบที่พวกเขาอุตส่าห์กลั่นกรองมานานเพื่อเด็กในห้อง กลับถูกยัยหัวทองห้องบ๊วยแย่งเปิดซิงเสียก่อน
เป็นเวลาพักเที่ยงแล้ว แต่ครูในห้องฝ่ายปกครองกลับต้องนั่งตรวจข้อสอบจนไม่ได้กินข้าว
คุณพ่อมาเฟียกับบอดี้การ์ดของเขายังคงยืนสังเกตการณ์เช่นเดียวกับนักเรียนชั้นมัธยมหกเกือบทั้งหมด ที่ยืนลุ้นยิ่งกว่าวันหวยออกเสียอีก
แม้จะหิวข้าวจนท้องกิ่ว แต่บรรยากาศตึงเครียดรอบด้านก็ทำให้โจวจิ้งไม่กล้าเดินออกไป