“มัธยมหกแล้วนะ จะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปถึงไหน ดูอย่างฉันสิ แค่สองอาทิตย์ยังทำได้ขนาดนี้ ต่อให้หัวไม่ดีแต่ถ้าได้ฉันติว รับรองสามเดือนรู้เรื่อง!” โจวจิ้งอบรม
“จริงเหรอ…” เจ้าเขียวตาวาว “ผมทำได้จริงๆ เหรอ?”
“ได้สิ” โจวจิ้งตอบ “เอาเป็นว่าฉันจะอยู่ติวให้ทุกวันแล้วกัน”
“อ้าว นึกว่าเฮ่อซวินจะติวให้” เจ้าเขียวทำหน้าผิดหวัง
“เธอเกลียดเด็กห้องกิฟต์ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไง!” โจวจิ้งทำท่าจะบีบคออีกฝ่าย
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เจ้าเขียวรีบแก้ตัว “สำหรับผมไม่มีใครสู้ลูกพี่ได้แล้ว ยอดมนุษย์ในดวงใจ!”
“รีบกินเถอะ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”
โจวจิ้งดูออกตั้งแต่แรกว่าเจ้าเขียวเป็นพวกปากแข็ง ใจก็อยากเรียนแทบตายแต่ทำเป็นไม่สนใจ
การเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีไม่ใช่เรื่องน่าอาย เธอไม่เข้าใจว่าเขากลัวอะไรอยู่
หลังกินข้าวเสร็จ โจวจิ้งและเจ้าเขียววิ่งเข้าห้องเรียนทันเสียงออดพอดี
วันนี้ครูประจำชั้นมาถึงเร็วเป็นพิเศษ เขาโบกกระดาษในมือแล้วประกาศว่า “แบ่งห้องตามคะแนนเรียบร้อยแล้ว ดูรายชื่อเสร็จก็เก็บของไปที่ห้องใหม่ของตัวเองได้เลย”
ครูประจำชั้นอธิบายอย่างไร้อารมณ์ เพราะชินกับการที่เด็กของตัวเองไม่เคยได้ย้ายไปห้องอื่น
กระดาษแผ่นบางเริ่มส่งต่อกันไปเรื่อยๆ โจวจิ้งไม่สนใจจะดูเท่าไหร่ เพราะถึงจะได้ที่สามของชั้น แต่คะแนนรวมอยู่แค่ระดับกลาง อย่างมากก็ได้ไปอยู่ห้องเจ็ดห้องแปด
สำหรับเธอ จะอยู่ห้องไหนก็ไม่สำคัญ เพราะสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว แค่ต้องการสัมผัสชีวิตมัธยมอีกครั้งเท่านั้น
แต่เสียงอุทานด้วยความตกตะลึง ก็ทำให้ทุกคนหันมองโจวจิ้ง
“แค่ย้ายไปห้องเจ็ดห้องแปด ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ พวกกบในกะลา!” เธอคิดในใจ
ขณะทำหน้าเหม็นเบื่อ โต้วหยาที่นั่งข้างๆ ก็สะกิดเธอพร้อมยื่นกระดาษให้
โจวจิ้งยกกระดาษขึ้นดู สักพักก็ทำตาโตแล้วยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง
บ้าบอ!
บนกระดาษเอสี่ ชื่อจะเรียงตามลำดับคะแนน ตามด้วยเลขห้องหลังชื่อนามสกุล
ชื่อของโจวจิ้งขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยเลขห้องหนึ่งส่วนคนอื่นๆ ยังคงอยู่ห้องยี่สิบเหมือนเดิม
“ห้องกิฟต์… What???”
เธอนั่งงงอยู่นาน ก่อนจะคืนกระดาษให้โต้วหยาแล้วลุกไปหาครูประจำชั้น
“มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่าคะ ทำไมหนูถึงได้ย้ายไปห้องกิฟต์?”
ห้องกิฟต์มีนักเรียนสามสิบกว่าคน ไม่ว่าจะยังไง คะแนนรวมของเธอคงถีบใครในนั้นออกมาไม่ได้แน่
“ไม่ผิด” ครูประจำชั้นตอบ “อาจารย์ฉีห้องกิฟต์ไปขอเพิ่มชื่อกับผู้อำนวยการ เพราะเห็นพรสวรรค์ของเธอ”
“พรสวรรค์?”
“ห้องกิฟต์ไม่ใช่ใครอยากเข้าก็เข้าได้นะ ตั้งแต่ดูแลห้องนี้มา เธอเป็นคนแรกที่ได้ย้ายออกไป ครูภูมิใจในตัวเธอมากนะโจวจิ้ง” เขาถึงกับน้ำตาคลอ
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ห้องกิฟต์ก็ห้องกิฟต์เถอะ อย่างน้อยก็มีคนหน้าตาดีเยอะ มนุษย์ป้าอย่างฉันจะได้เจริญหูเจริญตาบ้าง” เธอปลอบใจตัวเอง
เจ้าเขียวเดินมาหาเธอเพื่อถามย้ำอีกครั้ง “ลูกพี่ได้เข้าห้องกิฟต์จริงๆ เหรอ?”
“จริง” เธอมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ “ถึงจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ยังอยู่ตึกเดียวกัน ติดต่อฉันได้ตลอด ส่วนเรื่องติวยังคงเหมือนเดิม”
“งั้นผมช่วยขนหนังสือแล้วกัน”
“ไม่เป็นไร ฉันขนเองได้ รีบกลับห้องเถอะ”
ตรงทางเดิน มีเด็กขนของย้ายห้องเต็มไปหมด บ้างก็ถูกลดห้อง บ้างก็ได้ย้ายไปห้องที่ดีกว่า วุ่นวายไปหมด จึงไม่มีใครสนใจเธอ
ระบบการศึกษาแบบนี้ไร้สาระมาก เพราะเป็นการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจนจนน่าเกลียด
ห้องกิฟต์ที่อยู่ชั้นสามยังคงเงียบสงบ เดิมสามห้องแรกจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเด็กเรียนดีมักจะรักษาระดับของตัวเองอยู่เสมอ
โจวจิ้งลากถุงกระสอบไปตลอดทาง ไม่นานก็ถึงหน้าห้องกิฟต์ซึ่งต่างจากห้องเดิมโดยสิ้นเชิง
เมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบกับโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือและเอกสารประกอบการเรียน ทุกคนกำลังก้มหน้าทำแบบฝึกหัด ไม่มีใครสนใจเธอแม้แต่คนเดียว
โจวจิ้งไม่แน่ใจว่าพวกเขาจงใจไม่มองเธอหรือเป็นธรรมชาติของเด็กห้องนี้กันแน่
ยืนเหม่อไปได้สักพัก อาจารย์ฉีก็สะกิดเธอที่ด้านหลัง “เข้ามาสิ ครูเตรียมที่นั่งไว้ให้แล้ว”
โจวจิ้งพยักหน้าแล้วเดินตามเขาไป
“นั่งข้างเฮ่อซวินแล้วกัน”
“ฮะ…”
พออาจารย์ฉีพูดจบ บรรดานักเรียนที่ก้มหน้าอยู่ เงยหน้ามองเธอในทันที
“เธอไม่น่าจะสายตาสั้น นั่งตรงนี้ได้ใช่ไหม?”
“ได้ค่ะ” โจวจิ้งตอบอย่างจำใจ
“งั้นเก็บของไปก่อน ห้องพักครูอยู่สุดทางเดิน สงสัยอะไรก็ไปถามได้” อาจารย์ฉียิ้มแล้วเดินจากไป
เมื่อต้องนั่งกับเฮ่อซวินที่ทำหน้าไร้อารมณ์ตลอด เธอก็ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว
“สวัสดี” หยวนคังฉีทักเธอเบาๆ จากทางด้านหลัง
เขานั่งเรียนคนเดียว บนโต๊ะไม่มีหนังสือและเอกสารวางมากเท่าคนอื่นๆ เช่นเดียวกับเฮ่อซวิน
โจวจิ้งดึงกระดาษทิชชูขึ้นเช็ดโต๊ะ ก่อนจะเริ่มเก็บหนังสือเข้าลิ้นชัก
พอทุกอย่างเข้าที่แล้ว เธอก็หันไปจ้องเฮ่อซวินที่ยังคงอ่านหนังสือด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
“มองอะไร?” เขาถามอย่างเหลืออด
“มองคนหล่อ” โจวจิ้งแซว
เฮ่อซวินถึงกับไปไม่ถูกเมื่อได้ยินคำนี้
“อะ ไม่เล่นแล้วก็ได้ ว่าแต่ทำไมฉันต้องนั่งข้างๆ นายด้วย?”
“จะรู้ไหมล่ะ!”
“อ้าว นึกว่านายไปขอครูซะอีก”
“ฉันเนี่ยนะ?” เขากลอกตา
“ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครล่ะ?”
“ไม่รู้!” เฮ่อซวินเริ่มรำคาญ
“ไม่รู้จริงเหรอ” โจวจิ้งมองสำรวจอีกฝ่าย “เวลาพูดทำไมถึงไม่มองตา?”
เฮ่อซวินกำลังจะพูดต่อแต่ถูกหยวนคังฉีขัดจังหวะ “คุยกันสนุกสนานเชียวนะ ไม่คิดจะชวนบ้างเลย”
“ชวนอะไรกัน” โจวจิ้งถอนหายใจ “ครูจับฉันมานั่งตรงนี้ คงหวังให้พวกนายฉุดคะแนนฉันขึ้นแน่ๆ”
“คงอยากให้เราแข่งกันอย่างยุติธรรมมากกว่า” หยวนคังฉีชี้ไปข้างหน้า “ดูนั่นสิ”
ตั้งแต่เข้ามาในห้อง เธอเอาแต่จมอยู่กับความสงสัยจนลืมใส่ใจบรรยากาศรอบด้าน เมื่อมองตามนิ้วของหยวนคังฉีไป ก็พบว่าแถวหน้าคือหลินเกากับเถาม่าน
โจวจิ้งตกใจเลือดกำเดาแทบพุ่ง จู่ๆ ก็ถูกจับให้นั่งข้างหลังศัตรูและคนที่ตามจีบมานาน ซ้ำยังถูกประกบหลังด้วยคู่จิ้นของคนที่นั่งข้างๆ อีก
นั่งล้อมเธอกันขนาดนี้ กระทู้ของโรงเรียนคงไฟลุกอีกแน่นอน
เธอคิดว่าอาจารย์ฉีน่าจะถูกผีมนุษย์ลุงเข้าสิง ถึงได้จัดที่นั่งเหมือนกำลังดูละครหลังข่าวแบบนี้ โจวจิ้งสงสัย
เถาม่านและหลินเกาไม่แม้แต่จะหันมาทักทาย แต่กลับนั่งนิ่งราวกับเธอเป็นวิญญาณไร้ตัวตน
โจวจิ้งสูดหายใจเข้าลึก พยายามยิ้มปลอบใจตัวเอง “เยี่ยมไปเลย!”
เด็กห้องกิฟต์ไม่มุงดูโจวจิ้งเหมือนอย่างลิงในสวนสัตว์ แต่กลับทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน รวมถึงครูผู้สอนด้วย
ต่อให้เธอทำคะแนนดีแค่ไหน ก็ไม่อาจลบล้างภาพของเด็กมีปัญหาได้
ครูส่วนใหญ่มองว่าเธอได้เข้าห้องนี้เพราะมีพ่อเป็นมาเฟียดังนั้น คนเดียวที่คุยกับเธอก็คืออาจารย์ฉี
นับวันโจวจิ้งก็ยิ่งเหนื่อยใจ แม้คะแนนวิชาหลักจะพอใช้ได้แต่วิชาสามัญต้องเริ่มเรียนใหม่ทั้งหมด
เธอมีนิสัยชอบเอาชนะ ต้องเป็นที่หนึ่งในทุกๆ ด้าน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยิ่งอายุเยอะความจำก็ยิ่งด้อยลง ซ้ำยังต้องติวหนังสือให้เจ้าเขียวหลังเลิกเรียนอีก
เรื่องเยอะแยะมากมายที่ต้องพบเจอ ทำให้เธอนึกถึงสมัยที่ต้องนั่งทำโอทีจนดึกดื่น จนอยากให้หนึ่งวัน มีมากกว่า 24 ชั่วโมงเหลือเกิน
“ไม่ต้องขยันขนาดนี้หรอก ไม่มีใครบังคับให้เธอสอบได้ที่หนึ่งสักหน่อย” หยวนคังฉีให้กำลังใจ “ถ้าอยากได้ที่หนึ่งจริงๆ ฉันกับเฮ่อซวินยอมให้ก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก” โจวจิ้งยิ้มตอบ “ฉันแค่อยากมั่นใจว่าจะไม่หลุดโผแล้วกระเด็นไปอยู่ที่สี่น่ะ”
จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแก่งแย่งชิงดีกับเด็กพวกนี้ด้วย หรือจะแค่อยากพิสูจน์ตัวเอง ว่าไม่ได้แก่เกินแกงแล้วเท่านั้นหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
โจวจิ้งกำลังจะออกจากห้องเรียนตอนเย็นวันศุกร์ พอดีกับที่เจ้าเขียววิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“ลูกพี่ คนขับรถรออยู่หน้าโรงเรียนแล้ว”
เธอลืมไปว่าต้องกลับบ้านเพื่อไปร่วมงานวันเกิดเสี่ยวหยีในเมื่อหมดหนทางจะหนี จึงจำใจพยักหน้ารับ
“รู้แล้วน่ะ”
ที่หน้าประตูโรงเรียนมีรถจอดอยู่คันหนึ่ง พอเห็นเธอ บอดี้การ์ดที่เคยช่วยยกโต๊ะไปวางหน้าเสาธงก็ลดกระจกลงแล้วโผล่หัวออกมา
“ทางนี้ครับ” เขาเรียก
โจวจิ้งฝืนใจเดินไปขึ้นรถ ซึ่งก็พบว่าเถาม่านนั่งอยู่ในนั้นแล้ว
เถาม่านไม่แม้แต่จะหันมามอง ใบหน้างดงามมีแต่ความเย็นชา
เมื่อไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งรถจึงเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ตลอดทางไม่มีใครยอมพูดกับใคร
โจวจิ้งกลัวการต้องเป็นครอบครัวเดียวกันกับเถาม่านมาก แล้วเธอก็ไม่คุ้นเคยกับครอบครัวนี้ หากถูกจับได้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
เมื่อคนขับรถไม่พูดอะไร ทั้งรถจึงมีแต่ความเงียบงันชวนอึดอัด
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดรถก็จอดลงที่หน้าคอนโดหรูแห่งหนึ่ง
เถาม่านเปิดประตูแล้วเดินลงไปคนแรก โจวจิ้งจึงรีบตามลงไป
เขตหนานซินคือถิ่นคนรวย เป็นทำเลทอง ที่ดินจึงราคาสูงมาก เธอจำได้ว่าช่วงที่มีโครงการเปิดใหม่ เจ้านายของเธอต้องการซื้อบ้านให้ลูกชาย สุดท้ายงบไม่พอจึงยกเลิกความคิดไป
เจ้านายของเธอจัดว่ารวยในระดับหนึ่ง ยังซื้อไม่ไหว แสดงว่าราคาต้องแรงมากแน่นอน
โจวจิ้งคิดมาตลอดว่าคนที่ชอบความอลังการอย่างโจวฉีเทียนจะต้องอยู่บ้านแนวปราสาทราชวัง ไม่คิดว่าจะอยู่คอนโดแบบนี้