“ต้องทำให้พวกหล่อนหัวร้อน พรุ่งนี้จะได้แข่งไม่เต็มที่ วิธีกำจัดคู่แข่งที่ฉันเพิ่งคิดขึ้นได้” โจวจิ้งตอบอย่างมั่นใจ
“ฉลาดแกมโกงนะเรา” หยวนคังฉีปรบมือชื่นชม
“ไร้สาระน่ะ!” เฮ่อซวินไม่เห็นด้วย
“เรียกว่าใช้ปัญญาต่างหาก”
“ทำไมไม่สร้างความอิจฉากับฉัน ฉันหล่อไม่พอเหรอ!”หยวนคังฉีเบ้ปาก
“เจ้าชู้แบบนี้ไม่เอาหรอก เดี๋ยวจะถูกตลบหลังด้วยการแอบไปปลอบใจสาวๆ พวกนั้น” โจวจิ้งส่ายหน้า
“หึๆ” หยวนคังฉีหัวเราะ “ไว้ค่อยสร้างความอิจฉาในงานฉลองครบรอบห้าสิบปีของหัวลี่คืนพรุ่งนี้ดีกว่า เห็นว่าเป็นงานเต้นรำด้วย โอกาสทองแบบนี้หาไม่ได้แล้วนะ”
วันนี้อากาศหนาวจัด แต่ห้องสอบกลับไม่มีฮีตเตอร์
โจวจิ้งควงปากกาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย เธอทำข้อสอบเสร็จหมดแล้วแต่ยังออกจากห้องไม่ได้ ต้องรอให้หมดเวลาก่อน ซึ่งเหลืออีกกว่าครึ่งชั่วโมง
เด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนนี้แต่งตัวแนวเกาหลี ใต้เสื้อคลุมมีเพียงถุงน่องบางๆ ขนาดเธอใส่เลกกิ้งทับด้วยกางเกงยีนอีกชั้นยังรู้สึกหนาว หรือเพราะแก่แล้วก็ไม่รู้
ปากกาในมือร่วงลงบนโต๊ะเหมือนกำลังช่วยเรียกสติ โจวจิ้งจึงคิดถึงเรื่องที่สำคัญกว่า นั่นคืองานครบรอบวันสถาปนาโรงเรียนมัธยมหัวลี่
สมัยเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยม แค่ซื้อขนมมาปาร์ตี้ในห้องเรียนก็พอแล้ว แต่สมัยนี้ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะโรงเรียนที่เน้นกิจกรรมอย่างหัวลี่ ย่อมจัดงานใหญ่โตไม่ต่างจากพิธีรับรางวัลออสการ์แน่นอน
โจวจิ้งตื่นเต้นกับรูปแบบของงานมาก โดยเฉพาะกิจกรรมปิดไฟ 5 วินาที ที่จริงเธอไม่อยากเข้าร่วมเท่าไหร่ เพราะไม่มีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ แต่เมื่อหยวนคังฉีเอาบัตรเชิญมาให้แล้ว จะลองดูก็คงไม่เสียหาย
ที่เธอกังวลก็คือ ต้องยืนเอ๋อคนเดียวในงาน ไม่ก็ถูกเรียกขึ้นเวทีไปโชว์ความสามารถที่ไม่เคยมี
โจวจิ้งวางแผนว่าจะแกล้งหายตัวหลังสอบเสร็จ ปล่อยให้เด็กๆ ไปสนุกกันดีกว่า
สายตาของครูผู้คุมสอบกวาดมองเธออีกรอบ แม้ในหัวลี่จะเปิดกว้าง ไม่บังคับเรื่องการแต่งกาย แต่ผมสีทองแบบนี้ไม่เคยมีให้เห็นในโรงเรียน ทนอยู่นานกว่าจะได้ยินเสียงออด พอครูผู้คุมสอบเก็บกระดาษคำตอบไป โจวจิ้งก็คว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกนอกห้อง แต่ถูกหยวนคังฉีและเฮ่อซวินยืนขวางไว้
“ทำไม… ออกมาเร็วจัง?” เธอทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ส่งคำตอบก่อนเวลา”
“ส่งก่อนเวลาได้ด้วยเหรอ?”
“เพราะพวกเราหล่อไง” หยวนคังฉีหัวเราะ “ไปกันเถอะ”
“ไปไหน?”
“ไปเลือกเสื้อผ้า” เขามองการแต่งกายที่ต่างจากแนวเดิมของเธอ “คงไม่ใส่ชุดนี้ไปงานเต้นรำหรอกนะ”
“ฉันมีธุระ ไปงานไม่ได้” โจวจิ้งปฏิเสธ
“ธุระอะไร?” หยวนคังฉีถามต่อ
โจวจิ้งตอบตะกุกตะกัก “จะไปย้อมสีผม”
“ดีเลย ทำผมเสร็จก็ไปเลือกเสื้อผ้าต่อ” หยวนคังฉีสรุป
“ฉันไม่อยากไปจริงๆ”
“เพราะหลินเกาควงเถาม่านไปงาน เธอเลยไม่อยากไปใช่ไหม?” หยวนคังฉีถามด้วยความเป็นห่วง
“ใครจะควงใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“เพราะสวยสู้เถาม่านไม่ได้ เลยกลัวเสียศักดิ์ศรีไงล่ะ” เฮ่อซวินตอบอย่างมั่นใจ
“ฉันสวยสู้เถาม่านไม่ได้ตรงไหน เรียนก็เก่งกว่า นมก็ใหญ่กว่า!”
ทุกคนรู้ โลกรู้ ว่าเถาม่านเป็นสาวสวยอกไข่ดาว ส่วนโจวจิ้งที่สวยน้อยกว่า กลับมีสรีระที่สมบูรณ์มาก
เฮ่อซวินถึงกับสำลัก ส่วนหยวนคังฉีก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
“ฉันก็คิดแบบนั้น” หยวนคังฉีตอบ “แต่ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกัน เธอกล้าแข่งกับเถาม่านไหมล่ะ?”
“แข่งก็แข่งสิ กลัวที่ไหน!”
หยวนคังฉีขยิบตา “งั้นไปกัน!”
โจวจิ้งเพิ่งรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของเด็กหนุ่มตรงหน้า คิดจะปฏิเสธก็ไม่ทันกาล เพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้ว
งานนี้เสียหน้าไม่ได้จริงๆ เธอน้ำตาไหลในใจ
หยวนคังฉีหันไปสบตากับเฮ่อซวิน “รีบไปกันเถอะ”
“แค่ย้อมดำคงไม่พอ ต้องยืดและทำทรีตเมนต์ด้วย”พูดจบช่างทำผมก็เดินไปหยิบรายการโพรโมชันมาให้โจวจิ้งดู
“แค่ย้อมกับยืด ไม่ทำทรีตเมนต์ ไม่สมัครสมาชิก ขอบคุณค่ะ”
เธอพูดดักทางจนช่างทำผมเบ้ปากแล้วเดินไปผสมสีให้
ชาติก่อนถูกช่างทำผมเรียกพี่จนชิน พอถูกเรียกว่าน้องสาว โจวจิ้งก็แอบปลื้มในใจ
เฮ่อซวินนั่งอ่านนิตยสารอย่างไม่ใส่ใจ ส่วนหยวนคังฉีก็นั่งปิดประตูทางออกเพื่อไม่ให้เธอหนี
งีบไปได้สักพัก ช่างทำผมก็สะกิดเธอให้ตื่น
“เสร็จแล้ว โอเคไหมครับ?”
โจวจิ้งขยี้ตามองกระจกตรงหน้า ผมสีทองหายไปแล้ว เหลือเพียงผมดำตรงเป็นธรรมชาติ
เมื่อไม่มีผมสีทองหยิกหยอยที่เป็นเครื่องเตือนใจ เธอก็แอบใจหายเล็กน้อย
เห็นอีกฝ่ายนั่งเหม่อ ช่างทำผมจึงถามย้ำอีกครั้ง “โอเคไหมครับ?”
เด็กสาวในกระจกดูสดใส ผมดำยาวประบ่า ใบหน้าสะอาดสะอ้านปราศจากเครื่องสำอาง บริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ริมทาง ต่อให้ไม่ใช่ดอกไม้ราคาแพง ก็ดูเบิกบานสวยงามน่าอิจฉา นัยน์ตาของโจวจิ้งในกระจก คล้ายเธอในชาติที่แล้วมาก ไหนจะความดื้อรั้น ดันทุรัง ไม่ยอมแพ้ใครอีก
เธอจมปลักกับการความคิดจนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือความจริง สิ่งไหนคือความฝัน
“ว้าว!” หยวนคังฉีขยี้ตา “สวยธรรมชาติมาก”
“เงียบๆ หน่อย ฉันกำลังทบทวนชีวิตอยู่”
หยวนคังฉียกนาฬิกาขึ้นดู “ทบทวนชีวิตอะไรตอนนี้ รีบไปเลือกเสื้อผ้ากันเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
“ฮะ!” คำพูดของเขาช่วยดึงสติเธอจากความงมงาย “ต้องไปจริงๆ เหรอ?”
“ต้องไปสิ เฮ่อซวินจ่ายค่าทำผมให้เธอแล้ว”
“ฮะ!”
โตจนป่านนี้ โจวจิ้งยังไม่เคยเดินห้างกับผู้ชายสักครั้ง อย่างมากก็โจวเค่อ ไม่ก็เพื่อนร่วมงาน ส่วนสามีอย่างซูเจียงไห่ก็เอาแต่ทำงาน เมื่อมีสองหนุ่มหล่อมาเดินชอปปิงด้วย เธอจึงถูกสาวๆ
ส่งสายตาอิจฉาให้มากมาย แต่โจวจิ้งไม่รู้สึกภูมิใจเลย
“ฉันคืนเงินค่าทำผมให้นายดีกว่า” เธอบอกเฮ่อซวิน
“ถือเป็นค่าตั๋วเข้าสวนสนุกก็แล้วกัน” เฮ่อซวินตอบ
“ค่าทำผมแพงกว่าค่าตั๋วมาก ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก”
“ค่าตั๋วอะไร?” หยวนคังฉีพูดแทรก
โจวจิ้งรีบแก้ตัว “ตั๋วรถเมล์น่ะ ฉันให้เขายืมไปสองหยวน”
เฮ่อซวินรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ต้องพูดแล้ว เลือกเสื้อผ้าสักทีเถอะ”
เธอคือมนุษย์ป้าในร่างเด็กสาววัยรุ่น เมื่อต้องเลือกเสื้อผ้าที่ดูเซ็กซี่ ก็รู้สึกเขินอาย โป๊สุดในชีวิตที่เคยใส่คือชุดออกกำลังกายที่เป็นเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น
“กระโปรงพองผูกโบเนี่ยนะ? จะให้ไปแสดงละครเวทีหรือไง?” เธอบ่นหยวนคังฉี
“ขนนกทั้งตัว? ฉันไม่ได้ไปเต้นบัลเลต์นะ!”
“ชุดดำ? จะไปงานศพเหรอ?”
“กระโปรงหางปลาสีเงิน? บ้าไปแล้ว!”
“แหวกหลังถึงก้นขนาดนี้ เอาไปไกลๆ เลย!”
“หยวนคังฉี ฉันเข้าใจว่านายรสนิยมดีมาตลอด ไม่คิดว่าจะมีไอดอลเป็นตุ๊กตาบาร์บี้!”
หยวนคังฉีเถียงสุดใจ “แล้วที่เธอเลือกล่ะ มีรสนิยมเหลือเกิน ไหนจะสูท ไหนจะกระโปรงดำ ตู้เสื้อผ้าแม่ฉันก็มี ไปยืมได้!”
โจวจิ้งไม่ยอม เพราะหญิงวัยกลางคนอย่างเธอเหมาะกับชุดแบบนี้แล้ว
“ชุดในมือเธอกับกระโปรงที่ฉันเลือก อันไหนดูดีกว่า?”หยวนคังฉีให้เฮ่อซวินช่วยตัดสิน
เฮ่อซวินมองบน “น่าเกลียดทั้งคู่!”
โจวจิ้งเดินวนจนเริ่มท้อ แฟชั่นในสายตาเธอกับหยวนคังฉีช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
“โจวจิ้ง”
ยังไม่ทันหันไปมอง เธอก็ถูกกระโปรงลอยมาคลุมหัว
“…”
พอดึงลงมาสวมตัว ก็เห็นเฮ่อซวินยืนมองอยู่
“เลือกให้ฉันเหรอ?” เธอถาม
“อืม” เขาตอบโดยไม่มองหน้า
“อยากให้ลองจริงเหรอ?” เธอถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่อยากลองก็ไม่ต้องลอง!” เขาทำเสียงหงุดหงิด
เฮ่อซวินทำหน้าเหม็นเบื่อตลอดการชอปปี้ง แต่กลับเลือก
ชุดเกาะอกสีเทาที่ดูดีมีสง่า ตัดเย็บเรียบง่าย ไม่เว่อร์วังอลังการมาให้เธอ
“โอเค เดี๋ยวฉันไปลอง” ตั้งแต่เริ่มเดินห้างจนถึงตอนนี้ โจวจิ้งยังไม่ได้ลองสักชุด ทำยังไงได้ ชุดที่เขาเลือกให้ เธอก็ไม่อยากใส่ ชุดที่เธอเลือกเอง เขาก็ไม่ยอมให้ใส่ ทะเลาะกันไปมาจนพนักงานปวดหัว
เฮ่อซวินจึงสงบศึกด้วยการเป็นคนเลือกชุดเอง
“ทำไมฉันเลือกเธอถึงไม่ยอมลอง พอเฮ่อซวินเลือกก็ลองเลย ไม่ยุติธรรม!” หยวนคังฉีจึงพูดด้วยความน้อยใจ
เฮ่อซวินพิจารณาชุดกระโปรงที่ดูเหมือนเค้กยักษ์พลางส่ายหน้า
“น่าเกลียดตรงไหนไม่ทราบ?” หยวนคังฉีพาล
ขณะที่เขากำลังโวยวาย ประตูห้องลองเสื้อก็ถูกเปิดออก
โจวจิ้งเดินเหยียบส้นสูงออกมายืนที่หน้ากระจก ชุดกระโปรงเกาะอกสีเทาช่วยขับผิวให้เปล่งประกายอมชมพู ความพอดีของชุดเผยให้เห็นเอวคอดและหุ่นเพรียวลม ความยาวเหนือเข่าเสริมให้ขาเรียวสวยโดดเด่นชวนหลงใหล
“โอ้โห!” พนักงานอุทาน “ชุดนี้เหมาะกับคุณมากเลยค่ะ”
เด็กหนุ่มสองคนตรงหน้ายืนแก้มแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะเอวคอด ขาเรียว ผิวสวยใสของเธอ แต่เป็นหน้าอกที่ใหญ่สมกับที่อวดอ้าง!
ค่ำคืนในรั้วโรงเรียนหัวลี่คึกคักกว่าปกติ หน้าประตูแขวนป้าย ‘งานเลี้ยงฉลองวันครบรอบสถาปนาโรงเรียนห้าสิบปี’
ไฟหลากสีถูกแขวนเรียงราย มอบความอบอุ่นในคืนที่หนาวเหน็บ แม้จะอลังการไปหน่อย แต่แสงระยิบระยับท่ามกลางความมืดก็ดูสวยดี
สนามในร่มถูกจัดให้เป็นลานเต้นรำ โดยมีเวทีอยู่ด้านข้าง
วัฒนธรรมหัวลี่เน้นให้เด็กลงมือทำทุกอย่างเอง รูปแบบของการจัดงานจึงมาจากฝีมือของนักเรียนโดยผ่านการโหวตของคนทั้งโรงเรียน
บนโต๊ะตัวยาวมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนมวางไว้มากมาย ไม่ต่างจากงานเลี้ยงกินดื่มของผู้ใหญ่
อีกไม่กี่นาทีงานก็จะเริ่มแล้ว สนามถูกล้อมไปด้วยผู้คน นักเรียนต่างใส่ชุดหลากหลายแนว ทั้งแนวผู้ดี แนวเดินแฟชั่น ซึ่งถือว่าปกติมาก ส่วนพวกที่ไม่ปกติจะทำเหมือนงานนี้เป็นงานคอสเพลย์
ชุดแดร็กคูล่าบ้าง ซอมบี้บ้าง ชุดนางพยาบาลบ้าง ยืนรวมๆ กันก็ดูเก๋ไปอีกแบบ