งานนี้ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น เน้นสนุกเอามันอย่างเดียวดั่งคำขวัญของรุ่นพี่ที่ว่า ‘ปลดปล่อยตัวตนในแบบของคุณ’
แต่จะปลดปล่อยมากก็ไม่ได้ เพราะรอบสนามมีการ์ดยืนรักษาความปลอดภัยอยู่
“รุ่นพี่สวยจังครับ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดกับถังซือ
เธอแต่งกายก้ำกึ่งระหว่างพวกที่ปกติและไม่ปกติ สวมมงกุฎและกระโปรงเจ้าหญิงสีฟ้าแนวเทพนิยาย ใบหน้างดงามเหมือนตุ๊กตา ยิ่งได้แต่งหน้าก็ยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก
“ขอบคุณค่ะ” ถังซือยิ้มตอบ
ส่วนโม่ตันในเดรสสั้นปาดไหล่สีแดงก็พยายามดึงกระโปรงให้คลุมเข่าเพราะความหนาวอยู่ด้านข้าง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหลินเกาและเถาม่าน ก็ทักทายอย่างสนิทสนม
“พวกเธอก็มาด้วยเหรอ?”
เถาม่านมัดหางม้าสูง แต่งหน้าอ่อนๆ ใส่เดรสยาวสีขาวสะอาดตา ดูสง่างามมาก
แม้โม่ตันและถังซือจะเป็นดาวโรงเรียน แต่เมื่อเทียบกับเถาม่าน กลับดูด้อยกว่า
สัญชาตญาณของหญิงสาวเมื่อมีคนเหนือกว่าย่อมแสดงความไม่พอใจออกมา ถังซือเมินเฉยใส่เถาม่านแล้วหันไปพูดกับหลินเกาแทน
“เพื่อนคนอื่นๆ ไปไหนเหรอ?”
หลินเกาในชุดสูทเต็มยศซึ่งดูขัดกับร่างอันบอบบางตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ “คงใกล้ถึงแล้ว”
โม่ตันทำเสียงเย้ยหยัน “นึกว่ายัยโจวจิ้งจะอายเพราะทำโจทย์ไม่ได้ เลยไม่กล้ามาเสียอีก”
เธอยังแค้นที่เมื่อวานเถียงไม่ชนะ จึงใช้โอกาสนี้เอาคืน
หลินเกาแค่นเสียงฮึ “ผลสอบยังไม่ออก ไม่มีใครรู้หรอก”
ประโยคนี้ทำเถาม่านหันขวับจนถังซือสังเกตได้ถึงความไม่พอใจ
“นายไม่ได้ชอบโจวจิ้งไม่ใช่เหรอ เห็นเด็กยวู่เต๋อพูดกัน” พูดจบก็หันไปมองหน้าเถาม่านเพื่อดูปฏิกิริยา
เถาม่านกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ถูกเสียงฮือฮากับเสียงพลุแทรกขึ้นก่อน
“งานเต้นรำกำลังจะเริ่มแล้ว” เด็กหนุ่มข้างหน้าตะโกน
ดวงไฟที่ถูกเตรียมไว้ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละแถว เพลงถูกเปิดดังสุดเสียง เมื่อกองไฟที่อยู่ห่างออกไปถูกจุด บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ
“สงสัยจะไม่มาแล้ว” โม่ตันบ่นด้วยความผิดหวัง เพราะเธอเป็นคนเอาบัตรเชิญให้หยวนคังฉีกับมือ
จังหวะนั้น เสียงของเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ลอยเข้าหูเธอ “หล่อมาก โคตรหล่อ!”
โม่ตันมองตามเสียง แล้วก็พบว่าหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินในชุดลำลองแสนธรรมดากำลังเดินเข้ามา
เด็กหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำ ส่งยิ้มแสนอบอุ่นให้สาวๆ ที่รายล้อมอยู่ หวานเสียจนพวกเธอต้องมองแล้วมองอีก
ส่วนอีกคนที่ด้านหลังก็แต่งกายเหมือนกัน แต่หน้าตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
ทั้งสองเดินเข้ามาในงานพลางใช้มือกั้นเด็กสาวที่เดินตามหลังเพื่อไม่ให้ฝูงชนเบียดเธอ
โจวจิ้งในชุดราตรีสีเทา ทัดผมหลังหู หุ่นโค้งเว้าเป็นสัดส่วน ใบหน้าสะอาดสะอ้านดุจสาวน้อยใสซื่อ มีเสน่ห์ชวนหลงใหลแม้จะเดินเหยียบส้นสูงอยู่
“พวกเขามองทำไม ฉันแต่งตัวเว่อร์ไปเหรอ?” โจวจิ้งถามเสียงเบา
“พวกเขามองฉันกับเฮ่อซวิน ไม่ได้มองเธอ หัดถ่อมตัวบ้างได้ไหม” หยวนคังฉีแซว
“นี่ เลิกเหยียบเท้าฉันได้แล้ว…” เฮ่อซวินปรายตามองเธอ
“อุ๊ย ขอโทษ”
“โจว… โจวจิ้งเหรอ?” โม่ตันหรี่ตามอง
โจวจิ้งรีบเปลี่ยนเรื่อง “มากันครบแล้วเหรอ?”
โม่ตันและถังซือทำตาโต ร่างแข็งค้างราวกับถูกฟ้าผ่า
เถาม่านจ้องพี่สาวต่างมารดาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
น้อยคนนักจะสวยเทียบเท่าเถาม่าน ขนาดดาวโรงเรียนหัวลี่ยังสู้ไม่ได้ แต่เสน่ห์กับสง่านั้นคนละเรื่องกัน ต่อให้มีเสน่ห์ หน้าตาดีก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ ไม่ใช่จุดสนใจ เมื่อเทียบกับคนที่ดูสง่าดูทรงอำนาจ ซึ่งน่าค้นหากว่า
แววตาของหลินเกาเต็มไปด้วยความตกตะลึง สงสัย และเหลือเชื่อ หากแต่ยังหาความจริงใจไม่ได้
เมื่อพิธีกรเริ่มนับถอยหลังพร้อมกับเสียงดนตรีที่ครึกครื้นทุกคนที่มาร่วมงานจึงเดือดถึงขั้นสุด
“Let’s crazy!”
เสียงดนตรีดังสนั่น แสงไฟกะพริบตลอดเวลา ใบหน้าของหนุ่มสาวแต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ขนาดโจวจิ้งยังคล้อยตามไปด้วย
ขณะกำลังยืนงง เธอหันไปหาหยวนคังฉีซึ่งเต้นอยู่กับสาวแปลกหน้า ความเร่าร้อนและลีลาการเต้นของพวกเขาทำโจวจิ้งต้องปลีกตัวออกห่าง
บรรยากาศไม่น่าใช่งานเต้นรำของเด็กมัธยมปลาย เหมือนผับกลางคืนมากกว่า เธอคิดในใจ
“เฮ่อซวิน!” โจวจิ้งตะโกนเรียก “นายเต้นไม่เป็นเหมือนกันใช่ไหม?”
“เป็น”
“แล้วทำไมไม่เต้น?”
“เบียด”
เธอทำมือโอเคให้กับความเรื่องมากของเขา แล้วเดินไปโต๊ะของหวานเพื่อหาเค้กกิน
ขณะกำลังตักเค้กก้อนโตใส่จาน แนวดนตรีก็เปลี่ยน พอหันไปมองก็พบว่าถังซือและโม่ตันขึ้นไปเต้นลีลาศจังหวะปาโซโดเบลบนเวทีเรียบร้อยแล้ว
โม่ตันที่นิสัยอ่อนหวานกว่ารับบทเป็นนักเต้นหญิง ส่วนถังซือที่นิสัยห้าวหาญรับบทเป็นนักเต้นชาย พวกเธอเต้นเข้าขากันมากจนเวทีลุกเป็นไฟ
ถึงไม่ได้ใส่ชุดลีลาศ ความสวยของทั้งคู่ก็ไม่ลดน้อยลง ต้องยอมรับการสอนแบบเน้นกิจกรรมของหัวลี่ เพราะพวกเธอถ่ายทอดอารมณ์ผ่านการเต้นได้ดีมาก
นักเรียนเต้นรำกันอย่างครึกครื้นท่ามกลางแสงไฟมืดสลัว ความเร่าร้อนที่แผ่กระจายทำอากาศหนาวเปลี่ยนเป็นอบอุ่น
โจวจิ้งที่มือหนึ่งถือจานขนม อีกมือถือแก้วน้ำ ถูกเบียดไปยืนหน้าเวทีโดยไม่รู้ตัว
ตอนแรกเธอแค่อยากหาที่เงียบๆ นั่งกินขนม แต่กลับถูกเบียดจนเดินไปไหนไม่ได้ จะกลับไปหาหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินก็ทำไม่ได้
สองสาวบนเวทียังคงเต้นอย่างเมามัน สเตปการก้าวเท้าคล่องแคล่วว่องไว ไม่ว่าจะก้าวอยู่กับที่ หรือก้าวสลับไปมา คนดูก็รู้สึกชอบไปหมด
พอถูกเบียดจนเกือบล้ม โจวจิ้งก็รีบยัดขนมเข้าปาก อีกมือถือแก้วน้ำไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเธอก็อยู่ปลายเท้าของโม่ตันและถังซือแล้ว
ถ้าเป็นวันปกติคงไม่มีอะไรมาก แต่วันนี้โจวจิ้งเป็นที่จับตามอง จึงดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ
เธอเลียครีมที่เลอะขอบปากออกพร้อมทำใจว่าต้องเจอเรื่องโชคร้ายอีกแน่นอน
ไฟบนเวทีสว่างจ้าขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงที่ค่อยๆ เบาลง
ทันทีที่การแสดงลีลาศจบลง ถังซือที่สบตากับโจวจิ้งพอดีรีบทำตามแผนที่จะทำให้อีกฝ่ายขายหน้า
โจวจิ้งสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต เมื่อได้สติก็พร้อมจะวิ่งหนี แต่ขยับไปไหนไม่ได้เพราะถูกประกบทุกด้าน
ถังซือขยิบตาส่งสัญญาณให้คนจัดไฟ ในขณะที่หยวนคังฉีกับเฮ่อซวินเดินหาโจวจิ้งไปทั่วงาน
“เห็นเธอครั้งสุดท้ายที่ไหน?”
“หาเค้กกินตรงนั้น” เฮ่อซวินชี้ไปที่โต๊ะของหวาน
“เอาแล้วไง…” หยวนคังฉีถอนหายใจ “มือถือก็อยู่ในหอพักคนเยอะขนาดนี้จะหายังไงเจอ”
ขณะกำลังปรึกษากัน เสียงประกาศของถังซือก็ดังขึ้น
“มีคนอยากขึ้นเวที ขอเสียงปรบมือให้โจวจิ้งแห่งยวู่เต๋อหน่อยค่า!!!”
ไฟทุกดวงฉายไปที่ใบหน้าของโจวจิ้งอย่างแม่นยำ ด้วยสภาพที่ไร้คำวิจารณ์ของเธอในตอนนี้ ทำเฮ่อซวินอยากแทรกแผ่นดินหนีมาก
โจวจิ้งส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คนรอบข้างกลับปรบมือดีใจ
แสงไฟสาดไปทั่วร่างของเธอ ราวกับจะแผดเผาให้ไหม้เกรียมหากไม่ยอมขึ้นเวที
โจวจิ้งหาทางออกในหัวอย่างรวดเร็ว หากเธอไม่มีพรสวรรค์ด้านการเต้น ก็จะขอโชว์กินเค้กรวดเดียวสามสิบชิ้นจนหมด!
งานเต้นรำของหัวลี่จัดขึ้นอย่างคึกคัก สมกับคำขวัญที่ว่า ‘ปลดปล่อยตัวตนในแบบของคุณ’
บรรดารุ่นพี่ช่วยกันตั้งคำขวัญเพื่อจูงใจให้ทุกคนมาร่วมสนุก ยิ่งเด็กโรงเรียนนี้มีความสามารถส่วนตัวกันอยู่แล้ว ทั้งยังกล้าแสดงออกอีก บนเวทีจึงกลายเป็นงานโชว์ของดีส่วนบุคคลไปเลย
แสงไฟสว่างไสวปลุกความเร่าร้อนในใจนักเรียนทุกคน ถังซือที่ยืนอยู่บนเวทีเรียกชื่อโจวจิ้งด้วยความตั้งใจ ยิ่งเธอเป็นเด็กยวู่เต๋อ เด็กหัวลี่ก็ยิ่งตื่นเต้น
โจวจิ้งกรีดร้องในใจ พอทำท่าจะเดินหนีกลับถูกดันขึ้นเวทีอย่างรวดเร็ว
เมื่อดนตรีดังขึ้น โจวจิ้งก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วยกไมค์ขึ้นร้องเพลงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
‘สาวน้อยเดินท่ามกลางสายลมในฤดูร้อน
สวนกันไปสวนกันมา
เสียงหัวใจเต้นดัง
ราวกับเรียกร้องให้คุณหยุดเดิน
ต้นไม้ยังหัวเราะเยาะฉัน
ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อและเบอร์โทรคุณ
ได้แต่จดรายละเอียดไว้ในไดอารี่
ความรู้สึกราวกับไม่มีวันเขียนหมด
โอ้ว สาวน้อยที่น่ารัก
เหมือนฉันจะรักคุณตั้งแต่แรกพบ
นับแต่บัดนี้
ฉันจะฟังเสียงของหัวใจ…’
เสียงใสๆ ปนกับเสียงแหบเล็กน้อย เข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด
แม้จะเป็นเพลงเร็ว แต่กลับฟังสบายหู เปี่ยมไปด้วยความน่ารัก จนผู้ชมในงานยืนงงไปตามๆ กัน
“นี่เพลงอะไร? ไม่เคยได้ยิน” โม่ตันถามถังซือ
เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้า เธอจึงหันไปถามนักดนตรี
“พวกนายเคยได้ยินไหม?”
“เพลงนี้เก่ามาก” เด็กหนุ่มที่คอยควบคุมเครื่องเสียงหลังเวทีตอบพลางขมวดคิ้ว “หล่อนไม่น่ารู้จักเพลงเก่าขนาดนี้ได้”
ไม่นานหลังจากโจวจิ้งร้องเพลงจบ บรรยากาศก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ตั้งแต่เล็กจนโต ชีวิตของเธอไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีเลย เวลาว่างส่วนใหญ่จะติวหนังสือมากกว่า แม้สองปีที่นั่งข้างตู้เฟิงจะหัดฟังเพลงอยู่บ้าง ก็เป็นเพียงแนวร็อกเท่านั้น
ตอนเป็นเด็ก เธอใช้ชีวิตในอำเภอเล็กๆ ย่านชนบท โดยมีเพื่อนบ้านเป็นดิสโกเทกที่เปิดมานานแล้ว
ช่วงเย็นของทุกวัน ลูกค้าหนุ่มสาวในเสื้อฮาวายกางเกงขาม้า ซึ่งเป็นแฟชั่นยอดนิยมสมัยนั้น จะแห่กันมาร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน
หลังเลิกเรียน โจวจิ้งต้องกลับบ้านเองเพราะพ่อกับแม่ยังไม่เลิกงาน
เมื่อไม่มีกุญแจ จึงต้องไปรอที่ห้องรับแขกของดิสโกเทกเพื่อทำการบ้าน