พอคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุย หยวนคังฉีกลับสาธยายจนหมดเปลือก “ที่เคยบอกว่าจะเรียนตามหลินเกาเท่านั้น”
เซนส์ของเธอนี่แรงจริงๆ แถมยังมาเจอคนชอบขุดอย่างอีตาหยวนคังฉีอีก!
เฮ่อซวินยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือ หูก็ฟังบทสนทนาของพวกเขาไปด้วย
พอได้ยินชื่อของตัวเอง หลินเกาก็หันมองโจวจิ้ง ขยับปากเหมือนจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็หันหน้ากลับ
เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับหันไปจิกตาใส่หยวนคังฉี
แทนที่จะกลัวเขากลับรู้สึกสนุก “ใช่ไหม น่าจะใช่? ฉันจำไม่ผิดแน่ๆ”
“เรื่องตั้งนานแล้วใครจะไปจำได้ ไม่เหมือนนายหรอก ความจำดีเกิน!” เธอจงใจพูดเสียงดัง
“โอเคๆ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ว่าแต่เธอไม่มีความฝันหรือสิ่งที่อยากทำบ้างเลยเหรอ?” หยวนคังฉีขยับเข้าใกล้
“ไม่มี”
สำหรับโจวจิ้ง การเลือกเส้นทางชีวิตค่อนข้างไกลเกินเอื้อม แต่คงถึงเวลาที่ต้องเลือกและทำเพื่ออนาคตของตัวเองอย่างจริงจังแล้ว
เธอนั่งคิดเรื่องนี้ยันเลิกเรียน จากนั้นก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารกับหยวนคังฉี
เวลาเลิกเรียนของแต่ละห้องไม่เหมือนกัน ถ้าครูห้องไหนเข้มงวดก็จะปล่อยเกินเวลา จึงไม่แปลกที่เด็กห้องกิฟต์จะได้กลับบ้านเป็นห้องสุดท้าย
ทั้งหมดไม่ใช่เพราะครูผู้สอน แต่เป็นตัวเด็กเองที่ยอมอยู่ต่อเพื่อติวเพิ่ม
โจวจิ้งเดินตรงกลางระหว่างหยวนคังฉีกับเฮ่อซวิน มีหนุ่มหล่อระดับเดือนโรงเรียนประกบข้างกายนับเป็นโชคดีของเธออย่างมากแต่เธอกลับรู้สึกอึดอัดและอยากเดินไปกินข้าวคนเดียวมากกว่า
เมื่อเสียงออดหลังเลิกเรียนหยุดร้อง บนตึกก็แทบไม่เหลือนักเรียน
หยวนคังฉีที่เดินลงบันไดไปก่อนหันกลับมายกนิ้วชี้แตะปากเพื่อบอกให้โจวจิ้งเงียบและตั้งใจฟัง
“ทำไมถึงไม่รับสาย?”
เสียงที่เธอได้ยินอ่อนหวานและคุ้นหูมาก สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงของจิงจิง
“มีธุระอะไร?” หลินเกาตอบ
ความสัมพันธ์ของจิงจิงและหลินเกาค่อนข้างกำกวม เขาไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับความรักของอีกฝ่าย แค่ทำให้อบอุ่นหัวใจไปวันๆ เท่านั้น
น้ำเสียงของหลินเกาเย็นชากว่าตอนที่คุยกับจิงจิงในห้องสมุด ราวกับเปลี่ยนฤดูจากร้อนไปเป็นหนาวแบบฉับพลัน
“ทำไมถึงไม่สนใจฉันเลย โกรธอะไรหรือเปล่า?”
“ใกล้สอบแล้วฉันต้องอ่านหนังสือ” เขาตอบอย่างไร้อารมณ์
“ได้ยินว่า… พี่ชอบโจวจิ้ง…”
เกี่ยวอะไรกับฉันเนี่ย!—โจวจิ้งคิดในใจ
หยวนคังฉีหันมองโจวจิ้งพลางปิดปากหัวเราะ ส่วนเฮ่อซวินก็ทำหน้านิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ เธอไม่เคยสนทนากับหลินเกาแบบจริงๆ จังๆ แล้วจะชอบกันได้ยังไง นอกจากเขาจะเป็นพวกโรคจิตตอนถูกจีบก็ทำเป็นเล่นตัว พอถูกหมางเมินก็เริ่มอยากเอาชนะ
คำถามนี้ทำหลินเกาหมดความอดทนจนต้องตวาดกลับ
“เหลวไหลน่ะ!”
โจวจิ้งรู้สึกโล่งอก เพราะความรักของหนุ่มสาวไม่ควรมีป้าอย่างเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“พี่ยังรักเถาม่านอยู่สินะ…” จิงจิงถามเสียงสั่น
ไม่ทันที่หลินเกาจะได้ตอบ จิงจิงก็หันหลังแล้ววิ่งร้องไห้ลงบันไดไป
โจวจิ้งเงยหน้าขึ้นสบตากับหยวนคังฉีที่กำลังแสยะยิ้มและเฮ่อซวินที่ส่งสายตาตำหนิมาให้ สมองก็นึกถึงพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ชอบอ่าน
‘แฟนสาวช็อก ถูกนอกใจมานาน!’
หลังเรียนคาบติวเสร็จ โจวจิ้งก็กลับหอทันที
ช่วงใกล้สอบเอ็นทรานซ์ เธอยุ่งจนไม่มีเวลาเขียนไดอารี่ที่นอนนิ่งอยู่ในลิ้นชัก แต่วันนี้กลับหยิบมันออกมาแล้วจดบันทึกอย่างตั้งใจ
กว่าครึ่งปีแล้วที่เธอรู้สึกทรมานเพราะความทรงจำเก่าๆ ยังคงวนเวียน
หากจะส่งใครมาเกิดใหม่ สวรรค์เซอร์วิสควรลบความทรงจำในอดีตทั้งหมด ใครๆ ก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่อยากอยู่แบบครึ่งๆ กลางๆ กับสิ่งเก่าๆ แบบนี้ ซ้ำเธอยังพลาดช่วงเวลาดีๆ ของชีวิตไปตั้งสิบแปดปี เมื่อเทียบกับการเกิดใหม่เป็นทารก
ความมีสติและความหนักแน่นทำให้เธอมองทุกอย่างเป็นแค่จินตนาการที่คิดขึ้นเอง เมื่อใจไม่เป็นทุกข์ก็ไม่เกิดความเครียดจนกลายเป็นโรคประสาท
โจวจิ้งทำทุกอย่างเพื่อประคองอนาคตของเจ้าของร่างไม่ให้เปลี่ยนจนเกินไป แต่หลังจากได้รับหนังสือเลือกคณะของมหาวิทยาลัยต่างๆ เธอก็จำต้องตัดสินใจแทนเจ้าของร่างที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
ไม่ว่าการตัดสินใจจะถูกหรือผิด แต่การตัดสินใจแทนคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ
หลังนั่งคิดอยู่นาน เธอก็หยิบกระดาษขึ้นร่างจดหมายถึงเจ้าของร่าง
“ถึงโจวจิ้ง…”
ก่อนจะตัดสินใจแทนคนอื่นควรต้องพรรณนาถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันก่อน โจวจิ้งคนนี้จะได้รู้ว่าเธอทำทุกอย่างเพราะไม่มีทางเลือก
เมื่อคิดว่าต้องจากไปสักวัน โจวจิ้งก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เพราะเริ่มผูกพันกับหลายๆ อย่างรอบตัว
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แค่คุยกับคุณป้าแม่บ้านของบริษัทก็เกิดความผูกพันได้ ขนาดกินไข่ดาวตอนเช้าทุกวันยังติดเป็นนิสัย จะให้เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยคงยาก
คิดถึงตรงนี้เธอก็ถอนหายใจแล้ววางปากกา ไม่สามารถเขียนอะไรได้อีก
ต่อให้หญิงวัยทำงานอย่างเธอกลับมาเป็นเด็กมัธยมอีกครั้งก็ยังต้องปวดหัวกับเรื่องอนาคตอยู่ดี เพราะคนเรามีปัญหาในแต่ละช่วงชีวิต ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“เฝิงเอี้ยน” เธอเรียกรูมเมตของตัวเอง “อนาคตอยากเป็นอะไร?”
“ฉันเหรอ” เฝิงเอี้ยนหันมายิ้ม “ฉันอยากเข้าครุศาสตร์ ฉันอยากเป็นครู”
คนอื่นต่างก็มีความฝันกันทั้งนั้น ยกเว้นเธอที่ยังสรุปไม่ได้…
ที่หอพักชาย หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จทุกคนก็เริ่มอ่านหนังสือรอบดึกต่อ
เมื่อเจอการเตรียมสอบเอ็นทรานซ์เข้าไป บรรดาเด็กหนุ่มที่พลังงานล้นเหลือก็ถูกความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำ
หยวนคังฉีถามหารูปชีตเคมีที่ใช้มือถือของเฮ่อซวินถ่ายเมื่อวาน
“มือถือเฮียเฮ่ออยู่บนโต๊ะ” เจ้าอ้วนช่วยตอบแทน
เวลาขี้เกียจจด พวกเขาจะใช้มือถือถ่ายรูปไว้แล้วค่อยอ่านทีหลัง
หยวนคังฉีหยิบมือถือของเฮ่อซวินแล้วเปิดดูรูป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารประกอบการเรียนและภาพถ่ายที่ไม่เข้าพวก
หยวนคังฉีเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ กระทั่งเจอรูปเดี่ยวของโจวจิ้งและหนุ่มน้อยอายุราวห้าขวบที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขในสวนสนุก
ที่น่าแปลกก็คือ รูปคู่ของโจวจิ้งและเฮ่อซวินในตอนท้ายดูสดใสมาก ทั้งหัวเราะดีใจ กรีดร้องด้วยความกลัว รวมถึงความโรแมนติกที่มีให้กันท่ามกลางดอกไม้ไฟ พวกมันถูกเก็บไว้ในอัลบั้มอย่างดี ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารูปเหล่านี้มีคุณค่าท่างจิตใจกับเฮ่อซวินแค่ไหน
หยวนคังฉียืนใจลอยจ้องมือถือ พอถูกเฮ่อซวินเรียกก็สะดุ้งตัวโยน
“เป็นอะไร?”
หยวนคังฉีรีบปิดหน้าจอแล้วส่งมือถือคืน “อยากเล่นบาสเกตบอลไปแข่งกันสักตาไหม?”
เจ้าอ้วนที่กำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ถึงกับสำลัก ก่อนจะเหลียวมองนาฬิกา “ดึกมากแล้วนะเฮียหยวน ตอนเช้าค่อยเล่นก็ได้?”
หยวนคังฉียิ้มแล้วเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า “ตกลงจะเล่นไหม?” เขาถามเฮ่อซวินอีกครั้ง
“เล่น”
ใกล้ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สนามบาสเกตบอลจึงไม่มีใครใช้
“เล่นเป็นพิธีพอนะ ถ้าเหนื่อยก็กลับกันเลย” เจ้าผอมปากสั่นด้วยความหนาว
“ลูกบาสเกตบอลมีน้ำแข็งเกาะ จะเล่นได้เหรอ?” เจ้าอ้วนยืนถูมือไปมา
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหยวนคังฉีถึงอยากเล่นบาสเกตบอล หากเขาอยากเล่นจริงๆ ก็ควรเล่นหลังเลิกเรียนมากกว่า ไม่ใช่ตอนที่ทั้งมืดและหนาวแบบนี้
ตอนแรกเจ้าผอมวางแผนว่าจะเล่นแค่ยี่สิบนาที เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดจึงยอมแพ้เป็นคนแรกเพราะพลังงานหมด
เจ้าอ้วนวิ่งตามเจ้าผอมไปนั่งพักที่ขอบสนามหลังพยายามเล่นต่ออีกสิบนาที
“เฮียหยวนเป็นอะไรทำไมคึกขนาดนี้?” เจ้าอ้วนพูดไปหอบไป
“น่าจะโกรธใครมา” เจ้าผอมตอบ
น้อยคนนักที่จะเห็นหยวนคังฉีโกรธ ส่วนใหญ่จะยิ้มแย้มอารมณ์ดี เทียบกับเฮ่อซวินแล้วเขาก็คือเทวดาในร่างคน
ความนิสัยดีของหยวนคังฉีน่าจะมีมาแต่กำเนิด มีความเป็นธรรมชาติไม่เสแสร้งแกล้งทำ ยามต้องพบเจออุปสรรคก็ได้หน้าตาช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ ขนาดเล่นบาสเกตบอลยังนุ่มนวลอ่อนโยนต่างจากเฮ่อซวินที่เล่นแบบเอาเป็นเอาตาย
มาวันนี้เขากลับเปลี่ยนไปจนผิดสังเกต ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม ขนาดคนไม่คิดมากอย่างเจ้าอ้วนและเจ้าผอมก็ยังสัมผัสได้
“ลีลาดุเดือดมาก!” เจ้าผอมทำตาโต
หยวนคังฉีใช้ความรุนแรงในการแย่งลูกบาสเกตบอลจากเฮ่อซวิน บรรยากาศในสนามจึงค่อนข้างตึงเครียด
“เขาเล่นประชดใครเนี่ย?” เจ้าอ้วนไม่เข้าใจ “นี่ก็ไม่ใช่การแข่งขันโอลิมปิกนะ!”
“เวลาเฮียหยวนโมโหน่ากลัวแบบนี้นี่เอง!” เจ้าผอมส่ายหน้า
พูดยังไม่ทันจบดี หยวนคังฉีก็ชู้ตสามแต้มอย่างสวยงาม
เจ้าอ้วนและเจ้าผอมกลัวว่าเขาจะระเบิดอารมณ์มากกว่านี้จึงรีบปรบมือเอาใจ
“ลูกชู้ตสวยมาก ลีลาการเล่นก็ดีมาก สุดยอดไปเลยเฮียหยวนของเรา!”
หยวนคังฉีอุ้มลูกบาสเกตบอลแล้วส่งยิ้มให้เฮ่อซวิน หยดเหงื่อที่ปลายจมูกของเขาสะท้อนแสงไฟจนเกิดประกายระยิบระยับ
แม้รอยยิ้มจะดูปกติ แต่กลับแฝงไปด้วยความอยากเอาชนะปนขมขื่น
ปกติหยวนคังฉีไม่เล่นจริงจังขนาดนี้ พอจบเกมเขาก็นั่งลงข้างเจ้าผอมแล้วตะโกนด้วยความสะใจ “สนุกจังโว้ย!”
เฮ่อซวินนั่งเช็ดเหงื่อและดื่มน้ำโดยไม่พูดอะไร สีหน้าเรียบเฉยดังเดิม
“ฉันชนะ!” หยวนคังฉีโพล่งขึ้น
“อืม” เฮ่อซวินตอบสั้นๆ
เจ้าอ้วนและเจ้าผอมรู้สึกถึงความอึดอัดที่บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ลงรอยกัน