“ฉันเตรียมใจไว้แล้ว” โจวจิ้งอธิบาย “ตราบใดที่หลินเกาไม่ตกลงเป็นแฟนกับจิงจิง หล่อนก็จะไม่เลิกหาเรื่องทุกคน”
“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก” เจ้าเขียวเสนอ “ลูกพี่ต้องรีบคบกับเฮ่อซวิน ปัญหาจะได้คลี่คลาย!”
“คลี่คลายพ่อแกสิ!”
หลังจากวันนั้น กระทู้ที่เกี่ยวกับนางสาว ก. และ นางสาว ข.ก็ถูกลบ
ผู้เขียนสารภาพผ่านกระทู้ว่ากุเรื่องขึ้นทั้งหมด นอกจากจะถูกบรรดาผู้ที่ติดตามด่ายับ ถูกแอดมินเพจบล็อก เธอยังถูกกระทู้ปริศนาโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงอีกด้วย
เด็กสมัยนี้เชื่อคนง่าย โดยเฉพาะเรื่องของคนดัง พอมีเวลาได้คิดวิเคราะห์แยกแยะก็เห็นพ้องต้องกันว่าโจวจิ้งและเถาม่านน่าจะถูกกลั่นแกล้ง
จู่ๆ เว็บไซต์ของโรงเรียนก็ล่มโดยบังเอิญ เมื่อไม่สามารถล็อกอินเข้าเพจได้ เรื่องนี้จึงเงียบหายไปโดยปริยาย
การรับมือด้วยวิธีนี้มีเพียงมั่วลี่และเจ้าเขียวที่รู้ทัน แต่พวกเขาก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน
ในห้องพักครูวันนี้ อาจารย์ฉีอ่านเอกสารตรงหน้าด้วยแววตาเคร่งเครียด
แบบสอบถามที่กำลังอ่านเกี่ยวกับคณะที่เด็กห้องกิฟต์สนใจจะสอบเข้า ฝ่ายแนะแนวจึงสั่งให้เขาเป็นคนรวบรวมและทำการวิเคราะห์
“อาจารย์ฉี ขอดูแบบสอบถามของโจวจิ้งหน่อยครับ” อาจารย์อู่พูดขึ้น
“เธอไม่ได้ส่งมาครับ”
“เหลวไหลใหญ่แล้ว! เดี๋ยวผมไปตามให้เอง” อาจารย์อู่ทำหน้าจริงจัง
“อย่าบอกนะว่าอาจารย์อยากให้เธอเดินตามรอย” อาจารย์ฉีหัวเราะ
เมี่ยเจวี๋ยกระแอมด้วยความหมั่นไส้ ต่อให้โจวจิ้งได้คะแนนดีแค่ไหน แต่วีรกรรมที่ผ่านมาก็ทำให้เธอไม่สมควรได้เป็นครู
อาจารย์ฉีที่รู้ทันรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ช่วงนี้อาจารย์อู่กลับบ้านดึกทุกวัน วันหยุดมีแผนจะไปพักผ่อนที่ไหนไหมครับ?”
“ยังไม่ได้วางแผนเลยครับ” อาจารย์อู่ยิ้มตอบ
ยวู่เต๋อต้องการให้เด็กมัธยมหกได้คลายเครียดและปรับสภาพจิตใจก่อนการสอบปลายภาคที่กำลังจะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จึงประกาศให้วันแรงงานเป็นวันหยุดของโรงเรียน
หยุดยาวสามวันนี้โจวจิ้งไม่อยากกลับบ้าน เพราะปัญหาภายในครอบครัวยังไม่คลี่คลาย ขืนกลับไปคงไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือ
สุดท้ายก็ต้องผิดหวังเพราะโจวฉีเทียนมารับเธอด้วยตัวเองเพราะคนขับรถคนโปรดของเขาเพิ่งลาออกไป
เพราะไม่ได้เจอกันเกือบเดือน ทั้งคู่จึงนิ่งเงียบไปตลอดทาง
สูทของโจวฉีเทียนยับยู่ยี่ ฝุ่นเกาะรองเท้าจนเป็นคราบ ผมเผ้ารุงรัง มือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือคีบบุหรี่ขึ้นดูดเต็มแรง
กระทั่งหมดมวน เขาก็โยนก้นบุหรี่ออกนอกหน้าต่างแล้วเริ่มบทสนทนากับโจวจิ้ง
“ใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วสินะ?”
“อืม”
“อยากไปเรียนต่อเมืองนอกไหม?”
“อะไรนะ?”
“ลูกบอกพ่อเองไม่ใช่เหรอว่าชอบตุ๊กตาบาร์บี้ตาสีฟ้าผมสีทอง อยากไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ”
โจวจิ้งไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของร่างจะชอบแนวนี้
“พ่อกำลังล้มละลายใช่ไหม?” เธอถามแบบไม่อ้อมค้อม
โจวฉีเทียนทำหน้าตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เขายิ้มตอบแล้วไม่พูดอะไร
ตอนแรกเธอแค่เดา แต่ปฏิกิริยาของโจวฉีเทียนก็ทำให้รู้ว่าเป็นเรื่องจริง
โจวจิ้งรู้ตั้งแต่ตอนที่เถาม่านบอกเรื่องการขายแกลเลอรีแล้ว และหากไม่มีอะไรจริงๆ คนที่ใส่ใจรูปลักษณ์ภายนอกอย่างโจวฉีเทียนไม่มีทางปลอยให้ตัวเองโทรมขนาดนี้แน่นอน
“ไม่อยากไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วเหรอ?” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย
“พ่อจะไปด้วยไหม?”
“พ่อไปไม่ได้”
โจวจิ้งก้มหน้า “เพราะล้มละลายพ่อจึงขอหย่า พอส่งหนูออกนอกประเทศแล้วค่อยอยู่แก้ปัญหาที่นี่คนเดียวใช่ไหม?”
“คิดมากนะเรา” โจวฉีเทียนหัวเราะ
“หนูไม่ไป มีคณะที่อยากเรียนแล้ว” โจวจิ้งพูดแทรก
โจวฉีเทียนพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ตามใจ”
“พ่อทำให้หนูไม่สบายใจรู้ไหม?”
ความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่ใช่ความรู้สึกของเธอเอง แต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากเจ้าของร่างที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“เสี่ยวจิ้งโตแล้ว ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” โจวฉีเทียนยิ้ม
ประโยคนี้ทำโจวจิ้งสะอึก เธอรีบเบือนหน้าไปมองวิวตรงหน้าต่าง กลิ่นบุหรี่และกลิ่นควันรถยังคงโชยอยู่ที่ปลายจมูก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป โจวฉีเทียนก็พูดขึ้นว่า “กลับบ้านไปหาน้องกันเถอะ”
โจวเสี่ยวหยีก็ได้หยุดเช่นกัน
เมื่อคนในบ้านหายไปสองคน ขนาดป้าเฉินยังขอลากลับไปดูหลานชายที่กำลังป่วย เด็กน้อยที่เคยร่าเริงจึงซึมเศร้าอย่างหนัก
หน้าที่ทำกับจึงข้าวตกเป็นของโจวจิ้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ
ตกดึกคืนนั้น โจวจิ้งได้ยินเสียงบางอย่างหล่นแตก จึงสะลึมสะลือลุกจากเตียงไปดู
ที่ห้องรับแขก โจวฉีเทียนนั่งหน้าแดงก่ำอยู่บนโซฟา มีเศษแก้วแตกกระจายอยู่ทั่วพื้น กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วบ้าน
พอเห็นหน้าเธอ เขาก็กวักมือเรียกด้วยอาการมึนเมา
“เสี่ยวจิ้ง มานั่งเป็นเพื่อนพ่อหน่อย”
โจวจิ้งค่อยๆ เดินพลางก้มเก็บเศษแก้วไปด้วยเพราะกลัวโจวเสี่ยวหยีจะมาเหยียบเข้า
โจวฉีเทียนดื่มหนักเพราะกำลังเครียด คุยกับคนเมาก็เหมือนไม่ได้คุย เธอจึงไม่พูดอะไรมาก
“เสี่ยวจิ้ง มานี่เร็ว!”
เขาตะโกนเสียงดังจนโจวเสี่ยวหยีสะดุ้งตื่น
โจวจิ้งไม่สนใจและก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วต่อ โจวฉีเทียนจึงเริ่มพูดคนเดียว
“อีกไม่กี่วันเราก็จะย้ายบ้านกันแล้ว…”
โจวจิ้งยังคงไม่หยุดเก็บเศษแก้ว หูก็เงี่ยฟังอีกฝ่ายไปด้วย
“แม่ของลูกยังไม่ทันได้สุขสบายก็จากโลกนี้ไป พ่อเลยตั้งใจว่า…” เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “พ่อเลยตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกให้สุขสบายที่สุด แต่กลับต้องเป็นแบบนี้…”
เสียงของเขาเริ่มสั่น พอเธอหันไปมองก็พบว่าโจวฉีเทียนกำลังร้องไห้อยู่
น้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลออกมาบ่งบอกถึงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ถึงขีดสุด
โจวจิ้งตกใจเมื่อได้เห็นน้ำตาของผู้เป็นพ่อ ยิ่งนึกถึงความสง่าผ่าเผยที่เคยได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่
โจวฉีเทียนรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “ลูกอยากเข้ามหาวิทยาลัยไหน?”
“ยังเลือกอยู่ค่ะ” เธอตอบ
“ผลการเรียนของลูกดีขนาดนี้ ที่ไหนก็อยากได้ตัวทั้งนั้น เอาเป็นว่าต่อให้ต้องไปเก็บขยะขาย พ่อก็จะส่งลูกจนกว่าจะเรียนจบ”
โจวจิ้งทิ้งเศษแก้วลงถังขยะแล้วไปเอาผ้ามาถูพื้นต่อ
“พรุ่งนี้ช่วยพาเสี่ยวหยีไปเที่ยวทีนะ” โจวฉีเทียนควักกระเป๋าสตางค์ ออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะ “น้องบอกว่าลูกเคยพาไปเที่ยวสวนสนุกเลยอยากกลับไปนั่งรถไฟเหาะอีก”
ตอนแรกโจวฉีเทียนพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่ประโยคนี้กลับชัดเจนเป็นพิเศษ
โจวจิ้งหยุดเช็ดพื้นแล้วเงยหน้ามองโจวฉีเทียนที่เมาจนเปลี่ยนเรื่องมั่วซั่วไปหมด
“เสี่ยวจิ้งของพ่อโตขึ้นมาก เมื่อก่อนเกลียดการอ่านหนังสือ เดี๋ยวนี้นั่งอ่านหนังสือได้เป็นตั้ง เมื่อก่อนไม่ชอบกินผัก เดี๋ยวนี้กินได้ทุกอย่าง เมื่อก่อนแพ้เกสรดอกไม้ เดี๋ยวนี้นั่งช่วยป้าเฉินจัดแจกัน
บางครั้งก็หลงทางกลับบ้านไม่ถูก…”
ทุกประโยคของเขาทำโจวจิ้งหัวใจแทบวาย
เหล้าเป็นสิ่งวิเศษ สามารถสร้างความกล้าหาญยามอ่อนแอได้แม้จะไม่ใช่ของดี แต่เพราะหลายครั้งที่คนเราไม่กล้าเผชิญกับปัญหาตอนมีสติจึงต้องอาศัยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เข้าช่วย
โจวฉีเทียนพยายามหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากทำตัวหนีปัญหา เช่นเดียวกับโจวจิ้งที่พยายามจะไม่คิดถึงอดีต
“ตั้งแต่เล็กจนโตเสี่ยวจิ้งกลัวความสูงมาก แค่จะอุ้มไปชมวิวที่ระเบียงยังไม่ได้เลย”
“ทุกวันนี้ลูกเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจนพ่อจำแทบไม่ได้…”
โจวฉีเทียนจ้องโจวจิ้งนิ่งค้างราวกับต้องการค้นหาความจริง
“เธอใช่เสี่ยวจิ้งจริงๆ หรือเปล่า?”
เหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ แม้แต่เสียงลมพัดที่หน้าต่างก็ยังชัดเจน
“เธอใช่เสี่ยวจิ้งจริงๆ ใช่ไหม?” โจวฉีเทียนถามย้ำ
โจวจิ้งจ้องตาอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้า
ปกติพ่อกับลูกจะเชื่อมโยงกันทางสายเลือด หากคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว อีกคนย่อมต้องรู้
ถึงจะอ้างว่าโตขึ้นเลยทำทุกอย่างตรงข้ามกับอดีต โดยเฉพาะการทำสิ่งที่เกลียดซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ จะไม่ให้สงสัยคงเป็นไปไม่ได้
แม้โจวฉีเทียนจะเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ แต่เขาก็เป็นนักธุรกิจที่ฉลาด แยกแยะเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ยิ่งเป็นลูกสาวที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิดก็ยิ่งสัมผัสได้ง่าย
โจวจิ้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มผิดสังเกตตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อคำถามนี้ผุดขึ้นในใจ เขาก็คงกังวลไม่น้อย
ลูกสาวของตัวเองแท้ๆ แต่กลับเหมือนคนไม่รู้จัก เพราะสายตาที่เธอมองเขาไม่ใช่ความรักและเคารพ แต่เป็นสายตาของคนแปลกหน้า ความจริงโจวฉีเทียนพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ ทำตัวเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง แต่สุดท้ายก็หลอกตัวเองไม่ได้
ยิ่งกลัวเขาก็ยิ่งไม่กล้าถาม จึงทำตัวเป็นปกติ เล่นละครให้เหมือนทุกอย่างคือภาพลวงตา
เมื่อฟ้าดินไม่เข้าข้างอีกต่อไป เขาจึงอาศัยช่วงมึนเมาเปิดใจคุยกับโจวจิ้ง
โจวจิ้งทำอะไรไม่ได้อีกนอกจากยอมรับความจริง วิญญาณของเธอในร่างนี้ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง
เหมือนเขาจะรู้คำตอบอยู่แล้ว…
โจวฉีเทียนก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวัง
เสียงหัวเราะค่อยๆ กลายเป็นเสียงสะอื้น น้ำตาไหลผ่านร่องนิ้วของโจวฉีเทียนอย่างเห็นได้ชัด
จู่ๆ เขาก็ยืนขึ้น คว้าแก้วบนโต๊ะแล้วปาใส่กำแพงเต็มแรงจนโจวเสี่ยวหยีต้องเดินออกจากห้องมาดู