“จะนับว่าเป็นคู่แข่งก็คงไม่ถูก เพราะคะแนนด้านวิชาการของจิงจิงสู้เถาม่านไม่ได้เลย” โจวจิ้งตอบ
ความสามารถด้านดนตรีของทั้งคู่อาจสูสีกัน แต่ความสามารถด้านวิชาการของเถาม่านสูงกว่าจิงจิงจนเทียบกันไม่ติด
“ช่างเถอะ ขนาดเรียนจบแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าหลินเกาจะเลือกใคร เสียเวลาแย่งจริงๆ” มั่วลี่ยักไหล่ “สู้เจ๊ก็ไม่ได้ ลักกี้อินเลิฟลักกี้อินเกม”
โจวจิ้งได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินต่อ
ต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าห้องจัดเลี้ยงของตัวเอง ซึ่งบังเอิญว่าห้องของเจ้าอ้วนอยู่ที่เดียวและชั้นเดียวกันกับเด็กห้องกิฟต์ในโรงแรมห้าดาวชั้นนำของเมือง
เด็กห้องกิฟต์มีน้อย ห้องจัดเลี้ยงของพวกเขาจึงเป็นแค่โต๊ะจีนสี่โต๊ะ ซึ่งเธอได้นั่งโต๊ะเดียวกับเฮ่อซวิน
เมื่อเป็นการเลี้ยงฉลองก่อนจากลา จึงไม่ได้เป็นแค่การร่วมกินข้าว บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน ขนาดเด็กเนิร์ดหน้าห้องที่วันๆ เอาแต่อ่านหนังสือ ยังทำตัวผ่อนคลายไปกับคนอื่นด้วย
อาจารย์แต่ละวิชาต่างมาเข้าร่วมงานเลี้ยงและชนแก้วกับนักเรียนของพวกเขา
ดื่มกันไปได้สักพักอาจารย์อู่ก็ลากโจวจิ้งไปที่มุมห้องแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “โจวจิ้ง เธอจะยื่นเข้าคณะไหน มหาวิทยาลัยอะไร?”
“คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย G ค่ะ”
แววตาของอาจารย์อู่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “เธอมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์มากนะ ครูคิดว่าเธอควรเลือกคณะครุศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์มากกว่า ครูมีเพื่อน…”
จู่ๆ อาจารย์ฉีก็เดินเข้ามาแล้วโพล่งขึ้นว่า “อาจารย์อู่ เด็กๆ เพิ่งจะสอบเสร็จ อย่าเพิ่งกดดันเรื่องพวกนี้เลย มาๆๆ ชนแก้วกันเถอะ”
โจวจิ้งมองอาจารย์ฉีด้วยความรู้สึกโล่งอก
แม้จะสืบเรื่องราวของเธอมาเยอะ แต่อาจารย์อู่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอไม่ได้ชอบสายนี้ ต่อให้คะแนนคณิตศาสตร์จะดีเพียงใดก็ตาม
กินต่อไปได้สักพัก นักเรียนหลายคนก็เริ่มเมา
พวกเขาเริ่มเปิดใจคุยเรื่องความรัก ความทรงจำตลอดสามปี โดยมีเจ้าอ้วนและเจ้าผอมจากห้องอื่นแอบเข้ามานั่งฟังด้วย
แม้จะรู้จักแค่เฮ่อซวินกับหยวนคังฉี พวกเขาก็ตีเนียนยกแก้วเหล้าชนกับบรรดาเด็กห้องกิฟต์ ทั้งคลุกคลีและตีสนิทด้วยอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวหลายคนแย่งกันชนแก้วเหล้ากับหยวนคังฉี คนที่ใจถึงหน่อยก็สารภาพรักออกไปตรงๆ ส่วนคนที่เขินอายก็ได้แค่ขอเบอร์ ซึ่งเขาก็ยินดีทำให้ด้วยความเกรงใจ
มีบ้างที่แอบมองเฮ่อซวิน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เฮ่อซวินจ้องพวกนั้นด้วยสายตาเย็นชาแล้วยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด
แม้จะเลี่ยงการถูกมอมเหล้าจากสาวๆ ได้ แต่เขาก็ถูกเพื่อนผู้ชายลากไปมอมเหล้าอยู่ดี
“ขออวยพรให้ทุกคนมีอนาคตที่ดี แล้วอย่าลืมกลับมาเยี่ยมครูนะ” อาจารย์ฉีหัวเราะพร้อมกับชูแก้วในมือขึ้น “ครูพูดกับเด็กจบใหม่ทุกรุ่น แต่ไม่เคยมีรุ่นไหนทำเลย”
พอเขาพูดจบ หลายคนก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะกระดกดื่มเหล้าในมือเป็นการปลอบใจตัวเอง
เพื่อนร่วมชั้นเรียนส่วนหนึ่งเดินเข้ามาขอชนแก้วกับโจวจิ้งที่เคยเป็นแกะดำของห้อง
เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ไม่ถูกรังเกียจ อาจเพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างก็ยุ่งกับการเรียนจนไม่มีเวลาปฏิสัมพันธ์กัน เมื่อถึงคราวต้องจากลา จึงเข้าหากันด้วยความจริงใจเป็นครั้งสุดท้าย
การถูกเรียกว่า ‘เด็กอัจฉริยะ’ หรือ ‘คนเก่ง’ ทำเธอกระอักกระอ่วนไม่น้อย ยิ่งถูกนักเรียนหญิงที่เคยนินทาเดินเข้ามาขอโทษ ก็ยิ่งเขินหนักขึ้นไปอีก
“เมื่อก่อนพวกฉันไม่รู้จักเธอเลยพูดจาและทำกิริยาไม่ดีใส่ตอนนี้รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้นเลยอยากใช้โอกาสนี้ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอก ให้เรื่องไม่ดีในอดีตหมดไปพร้อมกับเหล้าแก้วนี้นะ” พูดจบโจวจิ้งก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด
เดิมเธอเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว แต่สำหรับเด็กมัธยม เรื่องพวกนี้คือเรื่องร้ายแรงที่เมื่อโตขึ้นแล้วมองย้อนกลับมา อาจพบว่าการเกลียดใครสักคนในวัยนี้คือเรื่องปกติ
พอรู้ว่าเธอเป็นคนตรงๆ สบายๆ คนที่ขอชนแก้วด้วยก็เริ่มเยอะขึ้น
เมื่ออยู่ในร่างของคนอื่น คอจึงไม่แข็งเหมือนก่อน แม้จะใช้แก้วเล็กแต่หน้าก็ยังแดงก่ำเพราะทนฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ไหว
ผ่านไปสักพักเธอก็หยุดดื่มแล้วนั่งมองเพื่อนๆ ที่กำลังเต้นอย่างเมามัน บ้างก็เดินชนแก้วไปทั่ว บ้างก็นอนฟุบหมดสติ
โจวจิ้งเริ่มหายใจไม่ออกเพราะแอร์ในห้องเปิดเบามาก จึงออกไปเดินเล่นตากลม แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกไปก็พบกับหลินเกาที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว
เขาดูเหมือนจะเมามาก มือหนึ่งถือขวดเหล้า อีกมือถือแก้วพอเห็นเธอก็นิ่งมองโดยไม่พูดอะไร
หลังเงียบกันไปสักพัก หลินเกาก็พูดขึ้นก่อน
“ดื่มด้วยกันไหม?”
“ได้สิ” เธอตอบ
หลินเกานั่งแยกโต๊ะกับโจวจิ้งเพราะต้องนั่งเป็นเพื่อนเถาม่านที่กำลังอารมณ์ไม่ดี
อาจเพราะเรื่องของครอบครัวทำให้เธอหงุดหงิดตลอดเวลา หน้าตาซีดเซียวไร้สีสัน ต่างจากโจวจิ้งผู้ไม่เคยเครียด แถมยังมั่นใจตลอดเวลาด้วย
เมื่อเห็นว่าหลินเกาคอยปลอบและดูแลเถาม่านเป็นอย่างดีโจวจิ้งเองก็เบาใจขึ้นมาก
จู่ๆ เขาก็อยากชนแก้วด้วย เธอไม่อยากหักหน้าจึงตอบตกลง
“แก้วเดียวพอนะ ว่าแต่ช่วยไปเอาแก้วให้หน่อยได้ไหม?” โจวจิ้งบอกหลินเกา
“ใช้แก้วฉันก็ได้”
หลินเการินเหล้าใส่แก้วของตัวเองแล้วก็ยื่นให้เธอ
ไม่ทันที่โจวจิ้งจะยื่นมือออกไปรับ เฮ่อซวินก็แทรกมือเข้ามาแล้วแย่งแก้วไป
“เธอไม่ดื่ม!” เขาถลึงตาใส่หลินเกาแล้วหันไปยัดยาแก้เมาใส่มือเธอ
“ยุ่งอะไรด้วย?” หลินเกาทำหน้าไม่พอใจ
“เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” เฮ่อซวินวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วดึงแขนโจวจิ้งให้เดินตาม
หลินเกาดึงปลายเสื้อของโจวจิ้งด้วยความโมโห “นายนี่มัน…”
แม่จ๋า เสื้อจะขาดแล้ว!—เธอคร่ำครวญในใจ
เฮ่อซวินจ้องหลินเกาตาเขม็ง ไม่มีใครยอมใคร
ด้วยความที่อีกฝ่ายตัวสูงกว่า ร่างกายกำยำกว่า หลินเกาจึงสู้แรงของเฮ่อซวินไม่ไหว
“ปล่อย!” เฮ่อซวินตวาด
หลินเกากัดฟันแน่น สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือ
เฮ่อซวินลากโจวจิ้งออกจากตรงนั้นโดยไม่หันกลับไปมองอีก
เขาเดินอย่างรวดเร็วจนโจวจิ้งตามไม่ทัน พูดง่ายๆ ก็คือถูกลากไปนั่นเอง
เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายทะเลาะกันเพื่อแย่งเธอ แม้จะไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่เธอก็รู้สึกราวกับเป็นนางเอกในละคร
หลังถูกลากออกไปไกลจากจุดเกิดเหตุ โจวจิ้งก็พูดกับอีกฝ่ายว่า “เดินช้าๆ หน่อย ฉันเป็นผู้หญิงนะ ว่าแต่… นายโมโหเรื่องอะไรเหรอ?”
เฮ่อซวินทำหน้านิ่งไม่ยอมตอบ
“อย่าไปโมโหหลินเกาเลย เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาตั้งนาน”
เฮ่อซวินยังคงทำหูทวนลม
“พกยาแก้เมาติดตัวตลอดเลยเหรอ? แสดงว่าเมาบ่อยสินะ นาย… จะรีบไปเข้าห้องน้ำหรือไง เดินช้าๆ ก็ได้ เฮ้ย! ลากฉันเข้าห้องน้ำชายทำไม?”
ในห้องน้ำไม่มีใครสักคน
โจวจิ้งสัมผัสได้ว่าเฮ่อซวินกำลังเมามากจึงคิดจะวิ่งหนี แต่กลับถูกดึงเข้าไปในห้องส้วมแล้วปิดประตู
“ฉัน… ฉันไม่ปวด…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค เธอก็ถูกเฮ่อซวินโน้มตัวลงจูบ
จูบที่ไม่ลังเล ไม่มีเวลาให้ทำใจ ไม่เปิดโอกาสให้เตรียมตัว
แสงสลัวภายในห้องน้ำ พื้นที่คับแคบ
อุณหภูมิจากร่างกายของอีกฝ่าย รวมถึงกลิ่นเหล้าอ่อนๆ ที่ติดตรงริมฝีปากทำโจวจิ้งตื่นเต้นแทบบ้า เธอตื่นเต้นจนลืมที่จะขัดขืนทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งตัว
เฮ่อซวินจู่โจมอย่างเร่าร้อน แต่กลับจูบด้วยความอ่อนโยน
ต่อให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก็คงไม่มีอะไรเกินเลยไปจากนี้ เพราะจะไม่เป็นการให้เกียรติฝ่ายหญิง
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเฮ่อซวินจะยอมถอนริมฝีปากออก
แสงไฟตกกระทบใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา นัยน์ตาทอประกายระยิบระยับจ้องมองโจวจิ้งนิ่งค้าง
“อะแฮ่ม” เธอกระแอมเพื่อเรียกสติอีกฝ่าย “เมื่อครู่…”
“ฉันชอบเธอ” เฮ่อซวินโพล่งขึ้น
คำสารภาพรักที่ไม่ลังเลขัดกับจูบที่อ่อนโยนและระมัดระวังอย่างมาก
ประโยคนี้ของเขาจริงจังแต่แฝงไปด้วยความอ่อนหวาน ราวกับไม่ต้องการให้ปฏิเสธ
“เธอชอบฉันไหม?”
เสียงของเขาไม่เร่งเร้ารีบร้อน ท่าทางสงบนิ่งและอดทนกว่าปกติ
เหมือนจะเมาแต่กลับมีสติ คำสารภาพรักที่ออกจากปากของชายผู้หยิ่งทะนง ใครจะปฏิเสธลง
“ฉัน…”
คำพูดยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ประตูห้องน้ำชายที่ถูกเปิดออกอย่างแรงก็ทำเธอสะดุ้ง
“มีคนอยู่ไหม ถ้าไม่มีจะเปิดเข้าไปแล้วนะ!” เจ้าอ้วนตะโกน มือก็เคาะประตูไปด้วย
“โง่หรือเปล่า ประตูล็อกก็ต้องมีคนอยู่สิ!”
“ก็เลยเคาะก่อนไง!” เจ้าอ้วนทุบประตูเต็มแรง ตั้งใจว่าถ้าไม่มีใครเปิดก็จะเคาะอยู่แบบนี้ทั้งคืน
เฮ่อซวินขมวดคิ้วแล้วเปิดประตูอย่างไม่เต็มใจ
ภาพตรงหน้าคือเจ้าอ้วนและเจ้าผอมที่ต่างก็ถือเหล้าทั้งขวดในมือ
เจ้าผอมขยี้ตาเมื่อเห็นโจวจิ้งอยู่ในห้องน้ำชายกับเฮ่อซวิน“เจ๊มาเข้าห้องน้ำกับเฮียเฮ่อเหรอ? บังเอิญจริงๆ เลย”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เปิดประตู เปิดออกดู เอ๊ะ! ใครมา…” เจ้าอ้วนยังคงร้องเพลงไม่หยุด
เห็นสภาพของพวกเขา โจวจิ้งก็ได้แต่ถอนหายใจ “แบบนี้จะกลับบ้านกันยังไง? ไปๆๆ เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าเขียวและมั่วลี่ต่างโทรหาโจวจิ้งเพื่อถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
คู่จิ้นหลายคู่กลายเป็นคู่รัก แต่ใช่ว่าสารภาพรักแล้วจะได้ดั่งใจทุกคน เพราะมีบางคนที่ต้องผิดหวังเสียใจ
พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน โจวจิ้งก็หน้าร้อนผ่าว
เธอกำลังจะได้เปิดใจแต่กลับถูกเจ้าอ้วนขัดจังหวะ เฮ่อซวินเลยยังไม่ได้รับคำตอบ
หลายวันมานี้ โจวจิ้งมัวแต่ยุ่งอยู่กับการตรวจเอกสารที่จะใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัย จึงไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน
ป้าเฉินกลับต่างจังหวัดเพราะบ้านของผู้เป็นนายกำลังจะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว