โจวฉีเทียนยังคงหายหัว ส่วนโจวเสี่ยวหยีก็ย้ายไปอยู่กับเถาจิง บ้านหลังโตจึงเหลือเพียงโจวจิ้งคนเดียว
ขณะกำลังเบื่อหน่าย หยวนคังฉีก็โทรเข้ามาพอดี
“อยู่บ้านไหม?”
“อยู่” เธอตอบเสียงเอื่อย
หลังจากคืนนั้น โจวจิ้งกับเฮ่อซวินก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ต่างคนต่างไม่หาเวลามาเคลียร์กันเพราะยังรู้สึกเขิน จึงทำแค่รอจังหวะที่เหมาะสม
“ฉันจะไปซื้ออุปกรณ์ตั้งแคมป์ ไปด้วยกันนะ” หยวนคังฉีชวน
“อุปกรณ์อะไรนะ?” เธอถามย้ำ
“ที่เคยตกลงกันว่าหลังสอบเสร็จจะไปปีนเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นไง อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว” หยวนคังฉีหัวเราะ “ช่วงนี้อากาศดี อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ ออกไปกางเต็นท์ดีกว่า ฉันถึงหน้าคอนโดแล้วรีบลงมาเร็ว”
“ฮะ!”
หยวนคังฉีก็คือหยวนคังฉี ยังคงชอบตัดสินใจแทนคนอื่นเหมือนเดิม
โจวจิ้งไม่ได้ติดธุระอะไรจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปหาอีกฝ่าย
ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าราวกับต้องการเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณ
ที่หน้าคอนโดหยวนคังฉียืนอยู่กับเฮ่อซวิน พอเห็นคนที่มาด้วยโจวจิ้งก็เริ่มหน้าแดง
เธอไม่คิดว่าเฮ่อซวินจะมา แม้จะตื่นเต้นเพียงใดก็ต้องเก็บอาการให้อยู่แล้วเดินไปหาพวกเขาด้วยสีหน้าปกติ
“ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมผอมขนาดนี้ หรือว่าเครียดเรื่องสอบ?” หยวนคังฉียื่นไอศกรีมให้เธอแท่งหนึ่ง
“เครียดบ้าอะไร ว่าแต่พวกนายเคยไปปีนเขาแล้วไม่ใช่เหรอ ซื้ออุปกรณ์อีกทำไม?”
เธอจำได้ว่าหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินเคยไปปีนเขาช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา
“เจ้าอ้วนกับเจ้าผอมฝากซื้อน่ะ” หยวนคังฉีอธิบาย
“นายจ่าย?”
“พวกเราจ่ายต่างหาก” พูดจบหยวนคังฉีก็โอบไหล่เฮ่อซวิน
โจวจิ้งตามสองหนุ่มสายเปย์ไปที่ร้านขายอุปกรณ์แคมป์ปิ้ง
พวกเขาเดินเลือกถุงนอน ไฟฉาย และอื่นๆ อีกมากมาย นานจนเธอได้แต่นั่งหาวรออยู่ที่โซฟา
ขณะพนักงานกำลังแนะนำสินค้า โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“ดำสลวยทำอะไรอยู่?” โจวเสี่ยวหยีถามด้วยเสียงเบื่อหน่าย
“นั่งเล่นอยู่ มีอะไรหรือเปล่า?”
“อยู่ข้างนอกเหรอ?” เสียงเจ้าตัวเล็กเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น“มาเล่นกับผมบ้างสิ”
“เรื่องอะไรฉันต้องไป” โจวจิ้งเย้าแหย่ “เบื่อมากเลยเหรอ?”
“เถาม่านสอบอยู่ ผมเลยดูทีวีรอข้างนอก”
“สอบอะไร? แล้วแม่ของเธอไปไหน?” โจวจิ้งสงสัย
“แม่ไปธุระเลยฝากผมไว้กับเถาม่าน วันนี้เธอมีสอบเลยพาผมมาด้วย ว่าแต่ดำสลวยไม่ต้องสอบเหรอ?”
โจวจิ้งเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะสอบเกี่ยวกับดนตรี ถ้าจำไม่ผิดการสอบนี้ผ่านไปนานแล้ว หรือเธอจะไปขอสอบนอกรอบ
“ไม่เกี่ยวกับฉัน จะไปสอบทำไม” โจวจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ครูที่คุมสอบให้เถาม่านไว้ผมยาวมัดจุก หนวดเครารุงรัง ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตร คะแนนสอบต้องออกมาไม่ดีแน่เลย”
เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงไล่น้องชายให้ไปดูทีวี แต่ก็ต้องฉุกคิดเมื่อนึกถึงคำพูดเกี่ยวกับครูผู้คุมสอบของเถาม่าน
สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นชายวัยกลางคนที่ว่าเดินอยู่กับ
จิงจิงหลังสอบเสร็จ วันนั้นมั่วลี่ชี้ให้เธอดูเพราะสงสัยว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน แต่โจวจิ้งไม่คิดเช่นนั้น ต่อให้มีผู้ชายไว้ผมยาวและหนวดเครารุงรังมากมายในเมืองนี้ เธอก็ยังรู้สึกว่าทั้งสองคือคนเดียวกัน
เขาดูสนิทสนมกับจิงจิงมากจนโจวจิ้งสังหรณ์ใจว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเถาม่าน
“เถาม่านสอบที่ไหน?” เธอถามน้องชาย
“ไม่รู้” โจวเสี่ยวหยีหาวตอบ “พวกเราอยู่ในบ้านหลังใหญ่ครูให้ฉันดูทีวีรอ ส่วนเถาม่านก็เข้าไปสอบในห้องคนเดียว ห้ามพกมือถือเข้าไปด้วยนะ โหดชะมัด!”
โจวจิ้งลุกพรวดด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” เฮ่อซวินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เธอพยายามตั้งสติ บอกตัวเองว่าทุกอย่างเป็นแค่สิ่งที่จินตนาการไปเอง
“พวกนายมีเบอร์เถาม่านไหม โทรให้หน่อยสิ”
“ฉันมี” หยวนคังฉีตอบแล้วกดโทรออก สักพักก็ส่ายหน้า “ไม่มีคนรับสาย”
“สถานที่สอบอยู่ตรงไหน พอจะจำได้หรือเปล่า?” เธอถามน้องชายที่ยังอยู่ในสาย
“ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวเดินไปถามเถาม่านให้นะ” เขาตอบอย่างไม่รู้ประสา
“อย่าไป!” โจวจิ้งตะโกนลั่น
“ดำสลวยเป็นอะไร ตะโกนทำไม?” โจวเสี่ยวหยีตกใจ
“ตอนเดินทางไปสอบ นายเห็นอะไรเด่นๆ เช่นห้างสรรพสินค้าบ้างไหม?”
“เหมือนจะมี… สวนสาธารณะ ที่แม่… เคยพามาครั้งที่แล้ว” โจวเสี่ยวหยีตอบเสียงสั่นเพราะถูกอีกฝ่ายทำให้กลัว
“เกิดอะไรขึ้น?” เฮ่อซวินขมวดคิ้ว
โจวจิ้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟังด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ฉันรู้สึกเหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น…”
เธอเคยเห็นข่าวเด็กสาวถูกมอมยา ถูกหลอกไปข่มขืน ต้องหมดอนาคตเพราะไม่เพียงมีบาดแผลทางร่างกายและจิตใจ แต่ยังถูกสังคมรังเกียจอีกด้วย เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่โทรเข้ามาในรายการ ‘สายลมในฤดูร้อน’ ที่ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย
ต่อให้ไม่ชอบเถาม่านแค่ไหน เธอก็ไม่เกลียดถึงขั้นอยากให้อีกฝ่ายเจอเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ จะให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เธอก็ทำไม่ลง
ฟังจบหยวนคังฉีก็ควักมือถือเตรียมโทรหาตำรวจ
“ไม่คิดว่าฉันเดามั่วเหรอ?” โจวจิ้งถาม
“ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว” เฮ่อซวินตอบ “ถ้าเธอคิดก็แสดงว่ามีโอกาสเป็นไปได้ อีกอย่างถ้าเถาม่านเป็นอะไรขึ้นมา เธออาจต้องกลายเป็นแพะรับบาปไปด้วย”
หยวนคังฉีพูดเสริม “ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ต่อให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็อาจโดนแค่ข้อหาแจ้งความเท็จ แต่ถ้าข้อสันนิษฐานเป็นจริงล่ะก็…”
“งั้นก็แจ้งเลย เดี๋ยวฉันจะออกไปตามหาเอง!”
โจวจิ้งทำใจดีสู้เสือแม้จะยังไม่พร้อมเจอกับความร้ายกาจของจิงจิง
สถานที่ที่โจวเสี่ยวหยีบอกห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ไม่เกินสิบนาที แม้ข้อมูลจะไม่ชัดเจนแต่ก็ยังพอจับจุดได้
ทั้งสามนั่งแท็กซี่ไปยังตำแหน่งที่โจวเสี่ยวหยีระบุ เธอไม่ลืมที่จะเตือนน้องชายให้อยู่นิ่งๆ เพื่ออีกฝ่ายจะได้ไหวตัวไม่ทัน
โจวจิ้งนั่งเงียบไปตลอดทางโดยมีหยวนคังฉีคอยปลอบใจ “อย่าคิดมาก อย่าเครียด ใกล้จะถึงแล้ว ตำรวจก็กำลังตามมา”
ความโกรธที่เธอมีต่อจิงจิงมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นรัวด้วยความกังวล ตาขวากระตุกตลอดเวลา
ที่หน้าตึกเก่าหลังหนึ่ง เฮ่อซวินเสนอขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันกับหยวนคังฉีจะขึ้นไปเคาะประตู เธอรอตำรวจอยู่ตรงนี้นะ”
โจวจิ้งพยักหน้าแล้วบอกให้พวกเขาดูแลตัวเองดีๆ
โจวเสี่ยวหยีโทรหาเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวและร้องไห้ไม่หยุด
“ดำสลวย เถาม่านร้องกรี๊ดใหญ่แล้ว! ผมเข้าห้องนั้นไม่ได้ผมกลัวมากเลย ฮือๆๆ” เขาปล่อยโฮ
เสียงร้องไห้ของเจ้าตัวเล็กทำโจวจิ้งกังวลหนักกว่าเดิม “ไม่ต้องกลัวนะ ออกมาให้ห่างจากประตูแล้วรีบไปหาที่ซ่อน!”
ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่เป็นคนแก่ เนื่องจากดูเหมือนตึกร้างจึงไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก ด้วยความร้อนใจ โจวจิ้งหยิบก้อนหินบนพื้นแล้วปาใส่หน้าต่างชั้นสามตามที่โจวเสี่ยวหยีเคยบอก
เสียงกระจกแตกดังลั่น ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงร้องไห้ของเด็ก เสียงทุบประตู และเสียงไซเรนของรถตำรวจ
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของโจวเสี่ยวหยีทำให้โจวจิ้งต้องรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสาม
ประตูห้องถูกเปิดกว้าง เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าเฮ่อซวินกำลังต่อยอยู่กับชายผมยาว โดยมีหยวนคังฉีนั่งคุกเข่าปลอบเถาม่านที่ปิดหน้าร้องไห้อยู่ด้านข้าง
ขณะกำลังจะเดินเข้าไป ชายผมยาวก็ชักมีดออกมาแทงเฮ่อซวิน เคราะห์ดีที่เขาหลบทันแต่ก็ยังพลาดไปโดนแขนจนเลือดไหลเป็นทาง
ด้วยความตกใจ โจวเสี่ยวหยีรีบวิ่งออกไปหาพี่สาวแต่กลับถูกชายผมยาวถีบจนกระเด็นไปติดประตู
เด็กน้อยล้มลงร้องไห้จ้า โจวจิ้งจึงโผเข้าไปกอดแล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายผมยาวพยายามวิ่งหนี
เนื่องจากประตูห้องอยู่ติดกับบันได พอถูกชนเต็มแรง เธอก็หงายหลังแล้วทิ้งดิ่งลงบันไดที่ทั้งสูงและชัน
“ไม่!” โจวเสี่ยวหยีกรีดร้อง
โจวจิ้งพยายามจะขานตอบแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า…
ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างแปรปรวน จากเมื่อครู่ที่มีแสงแดดแผดจ้า บัดนี้กลับครึ้มฟ้าครึ้มฝน
ผู้คนบนถนนที่ไม่ได้พกร่มต่างเร่งฝีเท้า ฝนยิ่งตกก็ยิ่งหนักจนหลายคนต้องเข้าไปหลบในร้านสะดวกซื้อ
ต้นไม้สองข้างทางถูกเม็ดฝนชำระล้างฝุ่นจนเขียวชอุ่ม หลุมบ่อบนถนนถูกน้ำขังเป็นแอ่งๆ
ผ้าที่ตากตรงระเบียงถูกเก็บหมดแล้ว หมู่บ้านแสนเก่าแห่งนี้ไม่มีแอร์ นานๆ จะมีฝนพรำนำความร่มเย็นมาให้ แต่ละบ้านจึงรีบเปิดหน้าต่างเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนสบายนี้
กลางหมู่บ้าน หญิงสาวในชุดคนไข้วิ่งหลบฝนไปมา กระทั่งถึงใต้หลังคาที่จอดรถจักรยานก็แหงนมองขึ้นไปบนตึกอย่างงงๆ
หญิงสาวคนนี้คือโจวจิ้งในสภาพมีผ้าก๊อซพันรอบหัว เดินเท้าเปล่า สวมเสื้อคนไข้ที่เปียกฝนไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เธอจำอะไรไม่ได้ ในความทรงจำมีแต่ความว่างเปล่า ราวกับกระดาษขาวหนึ่งแผ่นที่ไม่มีร่องรอยของตัวอักษรใดๆ
โจวจิ้งฟื้นขึ้นในหมู่บ้านเก่าๆ แห่งนี้
เธอรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศโดยรอบ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำ แต่เหมือนมีผ้าบางๆ มาบดบังจนอยากจะกระชากออก
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ตัดสินใจก้าวออกมาจากที่จอดรถจักรยานด้วยเท้าเปล่า ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น
ที่ชั้นสาม ประตูห้องถูกเปิดกว้าง ในนั้นมีหญิงชรากำลังนั่งต้มยาจีนที่ฉุนจนแสบจมูกอยู่
“แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าขม สะใภ้จะกินลงเหรอ?” ป้าบ้านตรงข้ามที่ยืนแทะเมล็ดทานตะวันถามขึ้น
หญิงชราตอบด้วยความโมโห “กินไม่ลงก็ต้องกิน! แต่งเข้าบ้านฉันครึ่งปีแล้วยังไม่ท้องเสียที ตอนโจวเค่อไปขอก็อุตส่าห์ยกให้ทั้งบ้านทั้งรถ ตอนนี้มาบอกว่าอยากทำงานไม่อยากมีลูก สะใภ้ดีๆ ที่ไหนเขาคิดกันแบบนี้!”