ณ ห้องฝ่ายปกครอง เจ้าเขียวกำลังยืนก้มหน้าก้มตา โดยมีนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาซุบซิบนินทา
ข่าวเกี่ยวกับห้องกิฟต์มักได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ยิ่งเกี่ยวพันกับห้องบ๊วย ก็ยิ่งแล้วใหญ่
“เมี่ยเจวี๋ยล่ะ?” โจวจิ้งกวาดตามองห้องฝ่ายปกครองอันว่างเปล่า
“กลับไปแล้ว” เจ้าเขียวตอบเสียงเบา น้ำใสๆ คลอสองเบ้าตา
สภาพของเขาในตอนนี้ค่อนข้างขัดตา เสื้อยืดกางเกงขาสั้นขาดๆ กับผมสีเขียวทั้งหัว แต่กลับยืนร้องไห้เหมือนเด็ก
“แล้วจะเอายังไงต่อ?” โจวจิ้งถาม
“ตามนั้น…”
“หมายความว่ายังไง?”
“ถูกไล่ออก…” พูดจบเจ้าเขียวก็เดินจากไป
โจวจิ้งตกใจกับคำตอบและรีบคว้าสายกระเป๋าของอีกฝ่าย “ทำไมถึงถูกไล่ออก?”
“แล้วจะทำอะไรได้?”
“นายไม่ได้ขโมย จะถูกไล่ออกไม่ได้!”
“ลูกพี่เชื่อว่าผมไม่ได้ขโมย?” เจ้าเขียวทำหน้าไม่เชื่อ
“ก็ตอนบ่ายนายไปกับฉัน แถมยังไม่ได้เข้าไปในห้องอีกจะขโมยได้ยังไง?”
“ก็จริง ผมไม่ได้เข้าห้องนั้นเลย น่าเสียดายที่ไม่มีใครเชื่อ…”
“ก็บอกไปสิว่าไม่ได้ขโมย!”
“ผมคุกเข่าอ้อนวอนแล้ว แต่เมี่ยเจวี๋ยไม่เชื่อ!” เจ้าเขียวตะคอก “ครูให้เลือกว่าจะคืนเงินหรือจะให้ไล่ออก เงินเยอะขนาดนั้นผมจะไปหาจากที่ไหน ยายก็กำลังป่วยอยู่ ถ้ารู้คงช็อกตายพอดี!” เขาพูดเสียงสั่น “ตอนนี้เข้าใจรึยัง ว่าทำไมผมถึงเกลียดพวกห้องกิฟต์ แต่ที่แน่ๆ ผมเกลียดลูกพี่ที่สุด เพราะต้องการเอาชนะใจลูกพี่ผมเลยยอมตกอยู่ในสภาพนี้ พูดตามตรงนะโจวจิ้ง ลูกพี่คือคนที่ทำให้ผมลำบาก!” พูดจบก็เดินจากไป ไม่แม้แต่จะสบตา
จากเจ้าเขียวหน่อมแน้ม คนที่คอยเดินตามเธอทั้งวันกลายเป็นคนที่กล้าต่อปากต่อคำ นักเรียนหลายคนที่เดินผ่านถึงกับต้องยกมือถือขึ้นบันทึกภาพอันน่าเหลือเชื่อนี้
เมื่อกลับถึงหอพัก โจวจิ้งก็โทรหามั่วลี่ทันที
แม้จะเป็นเด็กสายศิลป์ แต่มั่วลี่กลับได้ยินข่าวนี้อย่างรวดเร็ว
ที่มาที่ไปของเรื่องก็คือ เหรัญญิกห้องกิฟต์เพิ่งได้เงินก้อนมา และเลือกที่จะเก็บไว้ใต้ลิ้นชักในห้องแล็บ พอตอนบ่ายก็มีคนเห็นโจวจิ้งและเจ้าเขียวเข้าไปเอากล้อง เย็นวันเดียวกันเหรัญญิกพบว่าเงินก้อนนั้นหายไปจึงโบ้ยว่าเจ้าเขียวเป็นคนขโมย
“ฉันก็อยู่ในห้องแล็บด้วย ทำไมถึงไม่มีใครสงสัย?” โจวจิ้งไม่เข้าใจ
“บ้านเจ๊รวยขนาดนั้น เงินแค่นี้จะเอาไปทำไม เมี่ยเจวี๋ยไม่ได้โง่นะ!” มั่วลี่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“เดี๋ยวนะ บ้านฉันรวยมากเลยเหรอ?”
มั่วลี่เงียบไป 3 วินาที ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ที่ถามเพราะต้องการให้อวยอีกรอบใช่เปล่า?”
“เออๆๆ ไม่ต้องแล้ว”
หากจะสงสัยก็คงไม่ผิด เพราะนอกจากเครื่องสำอางในกระเป๋าแบรนด์เนมตามตลาดนัดและเงินไม่กี่สิบหยวนในบัตรกินข้าว เธอก็ไม่มีอะไรติดตัวแล้ว
“บ้านของเคอเสี่ยวฝานยากจนมาก คุณยายก็สุขภาพไม่ดีถ้ารู้คงรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่” มั่วลี่ถอนหายใจ “ปล่อยให้เขาถูกไล่ออกไปเถอะ เงินเยอะขนาดนั้นจะไปหาที่ไหน?”
“ปล่อยให้ถูกไล่ออกงั้นเหรอ?”
โจวจิ้งรู้สึกเหลือเชื่อ นักเรียนถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยและถูกไล่ออกโดยไม่มีหลักฐาน เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ
“แค่ยากจนและเรียนไม่เก่ง ก็ถูกตัดสินว่าเป็นขโมยแล้วเหรอ ฉันไม่ยอมหรอกนะ!”
“เจ๊จะช่วยเขาเหรอ?”
“เขาเป็นเพื่อนฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน คงไม่โดนแบบนี้”
“นี่จะช่วยจริงๆ ใช่ไหม?”
“ถามแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“ก็แค่… คิดไม่ถึงว่าเจ๊จะเป็นคนมีน้ำใจ” มั่วลี่ทำหน้ากึ่งชมกึ่งเสียดสี “ถ้างั้นก็ช่วยจ่ายเงินแทนเขา ทำให้เหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“เจ้าเขียวไม่ได้ขโมย ทำไมต้องจ่ายเงินด้วย?”
“ฉันซ้ำชั้นหนึ่งปี อยู่ที่นี่มานานกว่าเจ๊ ถ้าเขาไม่ได้ขโมยก็ต้องมีหลักฐานมายืนยัน ต่อให้ขโมยจริงๆ แต่ถ้าคืนเงินก็แค่โดนหักคะแนนและกลับมาเรียนได้ตามปกติ แต่ถ้าไม่คืนเงิน จะไม่ใช่แค่ถูกไล่ออกอาจถูกแจ้งความดำเนินคดีด้วย”
ได้ยินที่มั่วลี่พูด โจวจิ้งก็สูดหายใจเข้าลึก
“ทำไม เสียดายเงินเหรอ?” มั่วลี่พูดขึ้นต่อ “ถ้าคิดว่าเขาเป็นเพื่อน ก็ไปขอเงินพ่อเจ๊มาช่วยสิ”
“ก็อยากขออยู่หรอก แต่คงต้องหาพ่อให้เจอก่อน…” โจวจิ้งคิดในใจพร้อมกับชำเลืองมองกล่องของขวัญบนโต๊ะ “เพราะไอ้นี่แท้ๆ เลย!”
พอตั้งสติได้ก็หันไปพูดกับมั่วลี่ต่อ “พอจะรู้ไหมว่าฉันเก็บใบเสร็จกับบัตรรับประกันของกล้องตัวนี้ไว้ที่ไหน?”
มั่วลี่ทำหน้างุนงง “ไม่ใช่เจ๊หรอกเหรอที่กลัวว่ากลัวหลินเกาจะรู้สึกกดดันกับราคาจนไม่กล้ารับไว้ เลยฉีกใบเสร็จพร้อมกับบัตรรับประกันไปแล้ว”
“โอเค ฉันรู้แล้ว ขอบใจมาก”
โจวจิ้งเริ่มจะยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นคนบาปหนา เลยต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ แบบนี้
หลังวางสายจากมั่วลี่ได้ไม่นาน เฝิงเอี้ยนก็กลับถึงห้อง
เธอเห็นโจวจิ้งคุกเข่าอยู่กับพื้น มือถือถูกวางลงบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าลายทาง กระจกบานหนึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะ บนโต๊ะมีโคมไฟตั้งอยู่
เฝิงเอี้ยนคิดว่าโจวจิ้งกำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่างจึงเดินเข้าไปดู แล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังถ่ายรูปอยู่
“ขอยืมโต๊ะหน่อยนะ แสงสวยดี” โจวจิ้งพูดขณะพยายามแต่งรูปในแอพ
“ใช้ฟิลเตอร์สิ” เฝิงเอี้ยนเสนอแบบกล้าๆ กลัวๆ
“ฟิลเตอร์อะไร?” โจวจิ้งไม่เข้าใจ
“ฉันทำให้ดีกว่า ว่าแต่เธอจะขายของเหรอ?” ที่ถามก็เพราะเห็นอีกฝ่ายทั้งยืมโต๊ะ ทั้งจัดพื้นหลัง แถมยังแต่งรูปอีก
โจวจิ้งยื่นมือถือให้เฝิงเอี้ยน “เธอว่าฉันควรหาผู้หญิงสวยเซ็กซี่มายืนถือกล้องให้ไหม? เห็นในทีวีไดเร็คเขาทำกัน”
“เอ่อ… ไม่ดีมั้ง” เธอไม่เห็นด้วยและรู้สึกว่าโจวจิ้งทำตัวเหมือนพวกมนุษย์ป้า
โจวจิ้งเกาหัวด้วยความหงุดหงิด ปกติเธอไม่ชอบชอปปิงออนไลน์ หากไม่ใช่เพราะร้อนเงินคงไม่ทำอะไรแบบนี้แน่นอน
แต่พอนึกถึงเงินที่ต้องใช้กินข้าว บวกกับเรื่องของเจ้าเขียวอีก คงมีแค่เงินที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะอวดรวย เธอเพียงต้องการปกป้องคนที่ด้อยกว่าเท่านั้น
“ถ้าฉันโพสต์ลงบนเว็บบอร์ด ต้องใช้เวลากี่วันจึงจะขายออก” โจวจิ้งถามต่อ
“ขึ้นอยู่กับสินค้าด้วย บางทีวันเดียวก็ขายได้ บางทีก็ต้องรอเป็นเดือน”
“เป็นเดือนเลยเหรอ รอไม่ไหวหรอก!”
“ถ้ารีบจะลองไปขายในตลาดกลางคืนหลังโรงเรียนดูไหม?”เฝิงเอี้ยนเริ่มกล้าที่จะพูดคุยกับนักเลงระดับโรงเรียนอย่างโจวจิ้งแล้ว
“ตลาดกลางคืน?”
“ถึงโรงเรียนของเราจะห่างไกลตัวเมือง ขายของค่อนข้างลำบาก แต่ตลาดกลางคืนกลับคึกคัก ซอยข้างหลังใช้สำหรับขายของมือสอง ถ้าเธอรีบคืนนี้ก็ลองไปที่นั่นดู แล้วก็โพสต์ลงเว็บบอร์ดไปด้วย จะได้ขายเร็วขึ้น”
โจวจิ้งตัดสินใจพักหนึ่งแล้วจึงตอบกลับ “ตกลงตามนี้”