ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 1 ไฟไหม้

เปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!”  

 

 

สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว  

 

 

“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?”  

 

 

จริงด้วย!  

 

 

แล้วร้านค้าของสกุลพวกนางจะทำอย่างไรเล่า?  

 

 

ดวงตาสองข้างของอวี้ถังรื้นน้ำตา ภาพเบื้องหน้าพลันเลือนรางไม่ชัดเจน  

 

 

นางได้กลับมาเกิดใหม่หรือนี่!  

 

 

ซ้ำยังกลับมาตอนคืนวันที่ร้านค้าของสกุลนางไฟไหม้อีกด้วย  

 

 

ครอบครัวนางรักใคร่ปรองดอง มีสัมพันธ์แน่นแฟ้น นางเติบโตมาอย่างราบรื่นสมใจจนถึงวัยปักปิ่น ก่อนหน้านั้น สิ่งที่ขัดอกขัดใจนางมากที่สุดในชีวิตก็คือบิดามารดาไม่ยอมให้นางปีนป่ายต้นไม้หรือลงเล่นน้ำในแม่น้ำ พวกเขาบังคับให้นางร่ำเรียนวิชาเย็บปักถักร้อยไม่ให้ออกไปไหน ความทรงจำนั้นเป็นสุขและอุ่นวาบ ทว่าจำได้ไม่แม่นยำนัก เพียงเพราะหน้าร้อนปีนั้น เหตุการณ์ไฟไหม้อันไม่คาดฝันได้เผาร้านค้าทั้งหมดในถนนฉางซิ่งจนวอด ร้านค้าเครื่องลงรัก [1] ของสกุลนางกับท่านลุงใหญ่ก็หาได้โชคดีหลบเลี่ยงภัยร้ายนี้ไปได้ ไม่เพียงวัตถุดิบในร้านที่มอดไหม้ ทั้งโรงเก็บสินค้าและโรงงานหลังร้านก็ถูกเผาจนวอด สินค้าที่ใกล้จะต้องส่งมอบหายวับ แม่แบบอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ก็ไม่มีเหลือ สกุลอวี้ล้มครืน เริ่มตกต่ำนับตั้งแต่วันนั้น  

 

 

ห่างไปไม่ไกลมีคนพยายามพุ่งเข้าไปในร้านเพื่อดับไฟ ทว่ากลับถูกคานไม้ถล่มลงมาทับอยู่ใต้กองเพลิง  

 

 

“ตาเฒ่า! ตาเฒ่า!” หญิงสาววิ่งเข้าไปช่วยคน ทว่ามือเท้าสับสนไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก่อนจะถูกคนห้ามเอาไว้ก่อน  

 

 

ทั้งยังมีชายผู้หนึ่งนั่งกองอยู่บนพื้น มือฟาดลงที่ขาพลางร้องไห้โหยหวน “แล้วพวกข้าจะอยู่ต่อไปอย่างไรเล่า?”  

 

 

อวี้ถังกับซวงเถาถูกคนที่รู้ข่าวแล้ววิ่งผ่านไปมาเป็นระลอกชนเข้าที่ไหล่ ซวงเถาถึงได้สติในที่สุด   

 

 

นางรีบดึงอวี้ถังมายืนด้านข้าง เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูใหญ่ นายหญิงยังป่วยอยู่ นายท่านก็ไม่อยู่ที่เรือน ท่านไม่บอกอะไรสักคำก็วิ่งออกมาแล้ว…”  

 

 

อวี้ถังพลันได้สติขึ้นมาเช่นกัน  

 

 

สำหรับซวงเถาในตอนนี้ อวี้ถังเพิ่งจะตกจากชิงช้ากลางอากาศสลบไปครึ่งค่อนวันเพราะยืนไม่มั่น แต่สำหรับนางแล้ว นางได้ประสบกับความตกต่ำของตระกูล บิดามารดาสิ้นชีพ สามีก็ด่วนจากไป ขณะครองตัวเป็นม่ายยังถูกพี่ชายสามีคิดรวบหัวรวบหาง ไม่ง่ายกว่าจะเอาตัวรอดจากบ้านสามีมาได้ แต่กลับมาถูกฆ่าตายที่อารามซึ่งคุ้มครองนางเสียอย่างนั้น  

 

 

แม้เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้จะสำคัญ ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คืออาการป่วยของมารดานาง  

 

 

บิดาของนาง อวี้เหวิน กับมารดาสกุลเฉินผูกสมัครรักใคร่ แม้ตอนที่มารดาคลอดนางจะทำให้ร่างกายอ่อนแอจนให้กำเนิดบุตรไม่ได้อีก แต่บิดานางก็ทะนุถนอมรักใคร่มารดาราวกับของล้ำค่า ไม่เคยวางตัวห่างเหิน ทว่านับแต่มารดาคลอดนางออกมาก็โรคภัยรุมเร้า เจ็ดในสิบวันต้องคอยดื่มยาอยู่ตลอด ไม่กี่วันก่อนบิดาของนางรู้ข่าวจากสหายว่าหมอหลวงหยางโต่วซิงเกษียณอายุกลับไปอยู่บ้านเกิด จึงตั้งใจมุ่งหน้าไปที่เมืองซูโจวเพื่อหาวิธีการรักษาและยาดีมาให้มารดา  

 

 

ชาติก่อน บิดาของนางกลับมามือเปล่า มารดาสะเทือนใจเรื่องที่นางตกจากชิงช้าจนอาการทรุดลุกจากเตียงไม่ได้อีก บิดาจึงตัดสินใจพามารดาเดินทางไปเขาผู่ถัวตามหาหมอหลวงเร้นกายนามว่าหวังไป๋เพื่อหาทางรักษา ทว่าระหว่างเดินทางกลับเรือเจอคลื่นพายุจนอับปาง และสิ้นชีวิตลงในอุบัติเหตุครั้งนั้น  

 

 

“ไปเร็ว รีบกลับเรือนกันเถอะ!” อวี้ถังใจร้อนเป็นไฟ ลากซวงเถาวิ่งไปยังทิศทางกลับเรือน  

 

 

“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ เดี๋ยวก่อน!” ซวงเถาหอบแฮ่กๆ เพราะวิ่งตามนาง ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ? เรือนอยู่ทางนั้น!”  

 

 

อวี้ถังชะงักเท้า นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง  

 

 

สิบปีแล้วที่นางไม่ได้กลับไปยังเรือนซึ่งตั้งอยู่บนตรอกชิงจู๋ นางเกือบลืมไปแล้วว่าจากถนนฉางซิ่งไปตรอกชิงจู๋ยังมีทางลัดเส้นนี้อยู่ด้วย  

 

 

อาจเพราะถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ ตรอกเล็กๆ ที่ปกติมักเงียบเหงาจึงยังพอมีคนสัญจรไปมาอยู่บ้าง ทว่าทุกคนต่างสาวเท้าอย่างเร่งร้อน เงยหน้าขึ้นมองกันทีหนึ่ง ก่อนจะเดินสวนไหล่กันไปด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง  

 

 

ยามนี้ที่เรือนด้านหลังเงียบสงัด ไผ่เซียงเฟยหลายกอที่ตั้งตรงเป็นแนวกำลังแกว่งไกวกิ่งก้านอยู่ใต้แสงจันทร์ เสียงจอแจและความวุ่นวายบนถนนฉางซิ่งคล้ายเป็นเรื่องของโลกอีกใบโดยสิ้นเชิง  

 

 

เสียงไอของมารดาลอยมาชัดเจน ฟังคล้ายว่าไอสุดแรงจนตัวโยน “อาถังเป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นแล้วหรือยัง?”  

 

 

คนที่ตอบคำถามมารดาคือป้าเฉินที่รับใช้อยู่ข้างกาย “ตื่นแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าต้องกินเกาลัดคั่วน้ำตาลถึงจะดีขึ้น ท่านว่าฤดูนี้ ข้าจะไปหาเกาลัดคั่วน้ำตาลจากไหนมาให้นางได้? นางมาหลอกทานดอกกุ้ยฮวาลอยน้ำเชื่อมไปถ้วยหนึ่ง กับขนมเถาซู [2] อีกสามชิ้น ถึงได้ยอมนอนพัก”  

 

 

น้ำตาของอวี้ถังพลันทะลักออกมา  

 

 

ชาติก่อน นางไม่เคยคิดอะไรมากมาย มารดาแม้จะล้มป่วยเป็นประจำ แต่นางก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โต ซ้ำยังเอาเรื่องที่ตนตกชิงช้ามาหลอกกินของอร่อย เรื่องที่ปกติมารดาไม่อนุญาตให้ทำนางก็ทำเสียจบครบ แม้วันที่บิดาพามารดาไปเสาะหายาดี ก่อนออกเดินทางนางยังงอแงให้บิดาหาผงโป่งรากสนมาฝากนางด้วยสองห่อ ไม่เช่นนั้นนางจะไม่ยอมท่องหนังสืออีก  

 

 

“ท่านแม่!” อวี้ถังยืนอยู่หน้าห้องของมารดา ส่งเสียงเรียกนางทีหนึ่งอย่างยากจะสะกดอารมณ์  

 

 

เสียงประตูดัง ‘แอ๊ด’ ทีหนึ่งก่อนจะเปิดออก  

 

 

ป้าเฉินยื่นศีรษะออกมาแล้วส่งสายตาให้นาง “คุณหนูใหญ่อยากทานอะไรหรือเจ้าคะ? ป่านนี้เตาไฟในครัวคงจะมอดแล้ว อย่างมากก็คั่วข้าวให้ท่านรองท้องได้ชามหนึ่ง มากกว่านี้ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”  

 

 

อวี้ถังชะงักกึก  

 

 

นางหาใช่เด็กสาวที่ถูกบิดาประคบประหงมไว้กลางฝ่ามือ ไร้หัวคิด และไม่รู้ประสาอะไรคนนั้นอีกแล้ว   

 

 

ป้าเฉินทำหน้าประหลาดใจ สมองของนางจึงหมุนแล่นเร็วพลัน  

 

 

หรือว่าเวลานี้เมื่อชาติก่อน อาการของมารดาย่ำแย่เหลือเกินแล้ว?  

 

 

อวี้ถังสีหน้าเคร่งเครียด สายตาที่มองป้าเฉินจึงเจือความหนักอึ้งอยู่หลายส่วน นางทำมือบอกให้ป้าเฉินตามนางมา ทว่ากลับใช้น้ำเสียงที่แฝงความเย่อหยิ่งของเด็กสาวกล่าวว่า “ท่านแม่ข้าดีขึ้นบ้างหรือไม่? ข้าไม่ได้หิว ข้าอยากจะคุยกับท่านแม่สองสามคำ”  

 

 

อวี้ถังคนนี้ทำให้ป้าเฉินรู้สึกแปลกหน้าและประหลาดใจนัก นางไม่ทันได้คิดมากก็พยักหน้าส่งให้อวี้ถัง แต่เอ่ยห้ามนางเอาไว้ “นายหญิงเพิ่งจะดื่มยา ตอนนี้บ้วนปากและพักผ่อนแล้ว คุณหนูใหญ่มีเรื่องอันใดค่อยมาพรุ่งนี้เถอะเจ้าค่ะ”  

 

 

อวี้ถังชะโงกศีรษะเข้าไปดูในห้อง  

 

 

มารดาที่เมื่อครู่ยังพูดคุยกับป้าเฉินไม่ได้ส่งเสียงใดๆ  

 

 

เห็นชัดว่าไม่ต้องการพบนาง  

 

 

หัวใจของอวี้ถังหนักอึ้ง นางพยายามเลียนแบบน้ำเสียงของตนตอนอายุสิบห้าอย่างเต็มที่ “ก็ได้! ข้าจะกลับไปนอนก่อน เจ้าอย่าลืมบอกท่านแม่ล่ะว่าข้ามาหา”  

 

 

“ไม่ลืมเจ้าค่ะ! ไม่ลืม!” ป้าเฉินหัวเราะ แล้วจงใจเอ่ยเป็นนัยว่า “ลมหนาวน้ำค้างหนักเช่นนี้ ให้ข้าไปส่งคุณหนูกลับห้องนะเจ้าคะ”  

 

 

ฤดูกาลนี้มีลมมีน้ำค้างเมื่อไรกัน? ก็แค่ต้องการหาโอกาสพูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัวก็เท่านั้น  

 

 

อวี้ถังผงกศีรษะ แล้วเดินกลับไปที่เรือนข้างๆ ของตนพร้อมกับป้าเฉิน  

 

 

เพราะว่ารีบร้อนออกไป ผ้าห่มยังกองขยุกขยุยอยู่บนเตียง รองเท้าใส่ในเรือนก็กระจายอยู่คนละทิศ ข้างหนึ่งอยู่หน้าเตียง อีกข้างอยู่กลางห้อง ป้าเฉินจึงตำหนิซวงเถาเสียงดุทันที “เจ้าดูแลคุณหนูอย่างไร? ห้องรกรุงรังไปหมด ถ้านายหญิงมาเห็นคงต้องอบรมเจ้าอีกแน่”  

 

 

ซวงเถาหน้าร้อนวูบ พลันหมุนตัวไปเก็บกวาดห้องทันที  

 

 

อวี้ถังลากป้าเฉินมาพูดคุย “ท่านแม่เป็นอะไรกันแน่? เจ้าอย่าได้คิดหลอกข้านะ ข้ารู้ว่าปกติหลิวซานเทียที่อยู่โรงยาจี้หมินเป็นคนมาตรวจอาการท่านแม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะไปถามเขาที่โรงยาจี้หมินด้วยตัวเอง”  

 

 

ป้าเฉินมองอวี้ถังอย่างฉงนทีหนึ่ง  

 

 

อวี้ถังถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเติบใหญ่ แม้พูดไม่ได้ว่าถูกตามใจจนเสียคน แต่ก็หาได้เป็นเด็กสาวที่แข็งกร้าว นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางพูดจาบีบคั้นเช่นนี้  

 

 

ป้าเฉินอดจะออกอาการลังเลมิได้  

 

 

อวี้ถังรู้จักตัวเองดีว่าเป็นคนเช่นไร พูดน่าฟังหน่อยเรียกว่าคนไร้เล่ห์เหลี่ยม พูดให้ระคายหูหน่อยเรียกว่าคนไร้สมอง ไม่ว่าในเรือนจะเกิดเรื่องใดขึ้น นางย่อมไม่ใช่ที่พึ่งพา ทุกคนก็ไม่เคยบอกเล่าอะไรให้นางฟังเช่นกัน  

 

 

นางพูดกับป้าเฉินต่อไปว่า “เจ้าดูสภาพข้าสิ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ข้าเพิ่งวิ่งไปข้างนอกมา ถนนฉางซิ่งไฟไหม้แล้ว ร้านค้าของสกุลเราก็ถูกเผาจนเกลี้ยง”  

 

 

อาศัยแสงโคมอันริบหรี่ ป้าเฉินเพิ่งจะเห็นว่าเสื้อผ้าของอวี้ถังหลุดลุ่ย นางเอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ? ถนนฉางซิ่งไฟไหม้?”  

 

 

อวี้ถังพยักหน้า “สินค้าในร้านไม่มีเหลือแล้ว แปลงนาก็ต้องรอให้ผ่านวันไหว้พระจันทร์ไปก่อนถึงจะเก็บผลผลิตได้ ทั้งยังต้องรักษาอาการป่วยของท่านแม่อีก บ้านเราไม่เหลือเงินแล้ว”  

 

 

วาจานี้ไม่ใช่การข่มขู่ป้าเฉินแต่อย่างใด  

 

 

ชาติก่อนเรื่องราวก็ดำเนินไปเช่นนี้  

 

 

สกุลอวี้กำลังทรัพย์ถดถอย ทว่าไม่ถึงขั้นตกอับเพียงเพราะร้านค้าสองแห่งถูกไฟไหม้ ทว่าไฟไหม้ครั้งนี้ ทำให้ของ  

 

 

ในโรงเก็บสินค้าที่ผู้อื่นมัดจำเอาไว้ถูกเผาจนวอดวาย สกุลอวี้ต้องชดใช้ด้วยเงินก้อนโต ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ของหลี่ถังในราชวงศ์ก่อนซึ่งบิดาได้ขอซื้อต่อจากสหายก็ถึงเวลาต้องจ่ายเงินแล้ว มารดาไม่อยากให้บิดาผิดหวัง จึงตัดสินใจขายที่นาชั้นดีของครอบครัวไปสามสิบหมู่ [3]  โดยพลการ กระทั่งตอนที่บิดาพามารดาเดินทางไปเขาผู่ถัว ก็แอบมารดาขายที่นาชั้นดีไปอีกยี่สิบหมู่…ภายหลังบิดามารดาสิ้น เพราะต้องจัดงานศพให้สมหน้าสมตา นางจึงได้ขายที่นาชั้นดีซึ่งเหลืออยู่ห้าสิบหมู่ไปจนเกลี้ยง  

 

 

สมบัติที่ท่านปู่แบ่งให้บิดาหมดไปแล้ว ส่วนทางฝั่งท่านลุงก็เจอปัญหา จึงไม่อาจช่วยเหลือนางได้  

 

 

นางถึงต้องตอบตกลงแต่งงานกับคนสกุลหลี่  

 

 

ภาพความทรงจำแวบผ่าน สีหน้าอวี้ถังหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน  

 

 

นางเอ่ยหน้าตึงว่า “หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านแม่ล่ะก็ เมื่อท่านพ่อกลับมาต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”  

 

 

ป้าเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  

 

 

นางเป็นสาวใช้ที่ติดตามคนสกุลเฉินมาด้วยตอนออกเรือน ทั้งยังเป็นแม่นมของคนสกุลเฉิน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนสกุลเฉิน นางย่อมร้อนรนและปวดใจยิ่งกว่าใครเสียอีก ทว่าคุณหนูใหญ่กลับมาข่มขู่นาง  

 

 

เมื่อต้องเจอกับคุณหนูใหญ่ในรูปแบบนี้ นางกลับรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

นางหยุดคิดเล็กน้อย แล้วบอกอวี้ถังว่า “อากาศร้อนนัก นายหญิงไม่ค่อยเจริญอาหาร ทานอะไรไม่ลงสักอย่าง ซ้ำด้วยเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของคุณหนู จึงกินไม่ได้นอนไม่หลับอีก นางซูบผอมไปมาก แต่ไม่กล้าบอกให้คุณหนูรู้เจ้าค่ะ”  

 

 

อวี้ถังอดจะรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองไม่ได้  

 

 

นางในชาติก่อน มีแต่ทำให้บิดามารดาต้องกังวลใจอยู่เสมอ ไม่เคยคอยดูแลห่วงใย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเป็นที่พึ่งพิง  

 

 

คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังพลันประนมมือหันไปทางทิศตะวันตก แล้วเอ่ยว่า ‘อามิตตาพุทธ’   

 

 

ชาติก่อน นางหาใช่ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในศาสนา ทว่าพระพุทธองค์ก็เวทนานาง ส่งนางกลับมายังเวลานี้ใหม่อีกครั้ง กลับมายามที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ นางย่อมหวงแหนช่วงเวลานี้เป็นอย่างดี มิให้เรื่องเลวร้ายในอดีตต้องเกิดซ้ำ มิให้ครอบครัวต้องล่มจมตกอับ แตกแยกซ่านกระเซ็น  

 

 

อวี้ถังปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นสายดั่งหยาดฝน  

 

 

————————————————————-  

 

 

 

 

 

[1] เครื่องลงรัก คือ สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้เป็นต้น ฉาบรักสมุกให้ทั่ว แล้วแต่งผิวให้เรียบ  

 

 

[2] ขนมเถาซู เป็นขนมอบกรอบคล้ายกับคุกกี้วอลนัต  

 

 

[3] หมู่ เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนหน่วยหนึ่งที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (ราว 666 ตารางเมตร / 1 ไร่เทียบเท่ากับ 2.4 หมู่)  

Related

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset