ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 103 ฉลองปีใหม่

วันส่งท้ายปีเก่าต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ส่วนวันที่หนึ่งอวี้เหวินกับอวี้ป๋อพาอวี้หย่วนไปคารวะสกุลเผย

คนมากกว่าครึ่งในเมืองหลินอันล้วนต้องไปคารวะสกุลเผยในวันปีใหม่ หากว่าคนของสกุลเผยต้องพบหน้าทุกคน เกรงว่าคงเหนื่อยจนน้ำลายฟูมปากแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าไปคารวะสกุลเผย ก็แค่เขียนชื่อลงกระดาษแล้วหย่อนใส่ตะกร้าสานสีแดงที่ตั้งอยู่หน้าประตูจวนก็ใช้ได้แล้ว ภายหลังจะมีผู้ดูแลมาจดบันทึกลงสมุด แล้วไปรายงานให้ผู้นำสกุลเผยฟัง

อวี้เหวิน อวี้ป๋อและอวี้หย่วนออกจากวงล้อมผู้คนที่เบียดเสียดอยู่หน้าจวนสกุลเผยได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปคารวะวันปีใหม่ที่เรือนคหบดีคนอื่นๆ ต่อ

สกุลอวี้ก็วางตะกร้าสานไว้หน้าประตูเช่นเดียวกัน คนที่พอมีไมตรีกับสกุลอวี้กับพวกผู้เล่าเรียนวิชาต่างก็มาคารวะแต่ไม่ล่วงเข้าสู่เรือนใน เพียงหย่อนซองชื่อสกุลไว้ในตะกร้าเท่านั้น ซ้ำบางคนยังไม่ต้องมาเยือนด้วยตนเอง เพียงส่งบ่าวรับใช้หรือว่าผู้ดูแลมาจัดการเป็นใช้ได้

อวี้ถัง คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังอยู่ที่เรือนตระเตรียมของขวัญต่างๆ เพื่อจะไปคารวะวันปีใหม่สกุลเซียงในวันพรุ่งนี้

เพราะว่าเป็นช่วงปีใหม่ เรือโดยสารทั้งหมดจึงหยุดวิ่ง อวี้หย่วนไม่อาจเดินทางกลับในวันเดียวกันได้ จึงต้องพักค้างแรมที่เรือนสกุลเซียงหนึ่งวัน

อวี้ถังเอาเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ที่ตนตั้งอกตั้งใจทำใส่ลงในกล่องแกะสลักสีแดงของสกุล จากนั้นก็หย่อนใส่ในถุงผ้าของอวี้หย่วนไว้ ทั้งกำชับคนสกุลหวังด้วยว่า “ท่านป้า ท่านอย่าลืมบอกท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ เดี๋ยวเขาจะคิดว่าเครื่องประดับผมนี้เป็นของขวัญมอบให้คนสกุลเซียง”

คนสกุลหวังเดิมก็รักใคร่อวี้ถังอยู่แล้ว วันนี้อวี้ถังยังช่วยวางแผนทุกอย่างให้อวี้หย่วนอย่างรอบคอบ นางจึงเอ็นดูอวี้ถังมากกว่าเดิม

“ข้ารู้แล้ว” นางอดจะบีบแก้มนุ่มตึงของอวี้ถังสักหลายทีมิได้ จากนั้นก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ รอพี่สะใภ้เจ้าแต่งเข้ามาแล้ว ข้าจะให้นางปักรองเท้าให้เจ้าใส่”

อวี้ถังหัวเราะชอบใจ บอกกับคนสกุลหวังเป็นเชิงล้อเลียนว่า “ท่านวางใจเถอะ รอให้พี่สะใภ้คลอดหลานตัวอ้วนท้วมให้ข้า ข้าก็จะตัดเสื้อผ้าให้เขาสวม”

“เจ้าเด็กคนนี้!” คนสกุลหวังหัวเราะแล้วตบลงที่หลังมืออวี้ถังเบาๆ แล้วเอี้ยวตัวไปพูดกับคนสกุลเฉินที่วุ่นวายกับการบรรจุน้ำตาลข้าวให้อวี้หย่วนว่า “ไม่รู้นางมีคารมคมคายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ต่อไปหากบ้านเราเกิดเรื่องก็ไม่ต้องกลัวใครมาว่าร้ายเสียๆ หายๆ แล้ว”

คนสกุลเฉินถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่งแต่ก็ปล่อยนางไป “พี่สะใภ้ยิ่งตามใจนางจนเคยตัวเช่นนี้ นางนับวันก็ยิ่งไม่รู้จักละอายแล้ว”

“เก่งกาจสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน!” คนสกุลหวังปล่อยตัวอวี้ถัง แล้วช่วยกันกับคนสกุลเฉินจัดข้าวของที่เตรียมไว้ลงใส่ตะกร้าสาน แล้วสั่งให้ซานมู่ไปเรียกซย่าผิงกุ้ยเข้ามา

ซานมู่เป็นบ่าวรับใช้ที่อวี้ป๋อซื้อให้อวี้หย่วนเมื่อปีก่อน เพราะว่าบ่าวรับใช้เพิ่งมาถึงสกุลอวี้ ยังไม่ทันได้อบรมระเบียบให้เขา หนนี้ที่อวี้หย่วนไปเรือนสกุลเซียง อวี้ป๋อจึงให้ซย่าผิงกุ้ยติดตามไปด้วย หากเกิดขัดข้องสิ่งใดก็ยังพอมีคนช่วยเหลือได้

ซานมู่เป็นเด็กซื่อตรงเกินไปแต่ขาดไหวพริบ พ้นปีใหม่นี้ก็เพิ่งอายุได้สิบสองเท่านั้น ได้ยินดังนั้นก็รับคำอย่างรีบร้อนวิ่งหายไป

คนสกุลเฉินเกิดเป็นกังวลขึ้นมา “ให้เด็กคนนี้ไปด้วยจะไม่เป็นไรหรือ? อาหย่วนไปเยือนบ้านฝ่ายหญิงครั้งแรก กลัวเพราะเด็กรับใช้ซื่อบื้อแล้วไปก่อเรื่องอะไรเข้า”

คนสกุลหวังถอนหายใจ “เลือกแล้วเลือกอีก ก็มีคนนี้แหละใช้ได้กว่าเพื่อน ถึงเวลานั้นก็ได้แต่ให้อาเสาคอยสอนงานเขาหน่อย”

ท่านแม่เฒ่ากับท่านพ่อเฒ่าสกุลเซียงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานครั้งนี้ ทว่าเหล่าป้าๆ น้าๆ ในสกุลเซียงต่างรู้สึกว่าคุณหนูเซียงแต่งให้กับสกุลที่ต่ำกว่า จึงค่อนข้างดูถูกสกุลอวี้อยู่ไม่น้อย

สกุลอวี้จะไม่สนใจญาติที่ได้มาจากการเกี่ยวดองครั้งนี้ก็ได้ แต่เพราะกลัวทำให้คุณหนูเซียงต้องลำบากใจ เกรงว่าตอนที่อวี้หย่วนไปถึงจะไม่มีแม้แต่คนรับใช้ข้างกาย อวี้เหวินจึงตัดสินใจ บอกให้อาเสาติดตามไปฟู่หยางด้วยกัน

สะใภ้ทั้งสองยังสนทนากันต่ออีกหลายประโยค ให้ผู้รู้หนังสืออย่างอวี้ถังช่วยตรวจดูใบรายการของขวัญว่ามีเขียนผิดหรือตกหล่นไปหรือไม่ ซานมู่พลันย้อนกลับมา แล้วเอ่ยติดอ่างว่า “นายหญิงใหญ่ นายหญิงรองขอรับ สกุลเผย พ่อบ้านสามสกุลเผยมาส่งซองชื่อสกุลให้ขอรับ”

คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินได้แต่มองหน้ากันไปมา แล้วรีบร้อนพาอวี้ถังออกไปรับหน้า

หนึ่งเพราะหลายวันนี้หูซิ่งมักเป็นคนพาหมอหลวงหยางมาตรวจชีพจรให้คนสกุลเฉิน พอได้เห็นหน้าค่าตากันหลายครั้ง จึงมีความสนิทสนมกับหูซิ่งไม่น้อย สองเพราะหูซิ่งเป็นถึงพ่อบ้านสามแห่งจวนสกุลเผย เป็นตัวแทนและหน้าตาของสกุลเผย เมื่อเขามาคารวะวันปีใหม่ต่อสกุลอวี้ อย่างไรก็ต้องเชิญให้เขาเข้ามาดื่มชาด้านใน ปฏิบัติด้วยความเกรงอกเกรงใจถึงจะถูก

เพียงแต่ไม่รู้ว่าหูซิ่งนั้นมาในนามของสกุลเผยหรือว่าตัวเขาเองกันแน่?

อวี้ถังใคร่ครวญอยู่ในใจ เดินตามมารดากับป้าสะใภ้ไปที่ประตูใหญ่ด้วย

หูซิ่งอยู่ในชุดคลุมผ้าไหมหลู่โฉวสีแดงเข้ม ปกคอปักขนเพียงพอนสีเทา หน้าตามื่นชื่นสดใส พอเห็นพวกคนสกุลหวังก็ก้าวขึ้นมาคารวะทันที “เป็นนายท่านสามส่งข้ามาขอรับ นายหญิงใหญ่ นายหญิงรอง สวัสดีปีใหม่นะขอรับ!” พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นอวี้ถังที่ยืนอยู่ข้างหลังคนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินพอดี จึงคารวะให้อวี้ถังอีกครั้งหนึ่ง

ถึงกับส่งคนที่มีหน้ามีตาอย่างพ่อบ้านสามมาคารวะสกุลอวี้ นี่นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างมาก

คนสกุลหวังพาคนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปตระเตรียมของขวัญตอบแทนให้หูซิ่งเสียวุ่นวาย

หูซิ่งเอ่ยว่า “ข้าทางนี้ยังต้องแวะไปคารวะอีกหลายบ้าน ขอไม่สนทนากับพวกท่านแล้ว รอมีเวลาว่าง จะมาเยี่ยมนายท่านอวี้ใหม่ขอรับ”

คนสกุลเฉินได้แต่ร้องว่า “เกรงใจแล้ว” จากนั้นก็ส่งหูซิ่งออกจากตรองชิงจู๋ไป

หูซิ่งเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ทุกคนต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน ท่านอย่างได้เกรงใจกับข้าอีกเลย วันนี้อากาศหนาว ท่านรีบกลับเข้าเรือนไปพักเถอะขอรับ! หากว่าโดนไอเย็นเล่นงานจนป่วยไป ข้าจะมีหน้ามาเจอนายท่านอวี้ได้อย่างไร”

เขาดึงดันไม่ให้คนสกุลเฉินออกไปส่ง คนสกุลเฉินเห็นว่าเขาพูดจากใจจริง จึงไม่ได้เกรงใจเขาอีก นางไปหยิบขนมน้ำตาลข้าวที่ตนทำเอง แล้วไปส่งเขาที่หน้าประตูใหญ่ รอจนหูซิ่งจากไปแล้ว คนสกุลหวังจึงเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “ครั้งก่อนตอนงานวันเปิดร้านข้าเห็นพ่อบ้านหูก้มหน้าก้มตาโศกเศร้า เวลานี้เหตุใดกลายเป็นกระปรี้กระเปร่าเสียแล้ว?”

“คงไปเจอเรื่องดีๆ เข้ากระมัง?” คนสกุลเฉินเดาพร้อมรอยยิ้ม “พ่อบ้านหูผู้นี้คนนับว่าไม่เลว ตอนนั้นคงแค่ไม่สบายใจชั่วครู่ชั่วคราวกระมัง?”

แม้ว่าจะคุ้นเคยกับหูซิ่งแล้ว ทว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นปัญหาส่วนตัวของเขา สองคนถกกันไม่กี่คำก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท กลับไปกังวลเรื่องที่อวี้หย่วนจะไปเยือนสกุลเซียงอีกรอบ

ทันทีที่หูซิ่งเดินออกจากตรองชิงจู๋สีหน้านั้นก็ทะลายหายไปทันที

หลังจากหนก่อนที่เขาทำอะไรโดยพลการ คนสกุลเผยก็โดยเขาทิ้งไม่สนใจ ทำเหมือนกับพ่อบ้านสามอย่างเขาคนนี้ไร้ตัวตน เหล่าผู้ดูแลในจวนล้วนเป็นคนฉลาด ไม่ทันไรก็ทิ้งเขาให้โดดเดี่ยวในทันที หากมิใช่เพราะหมอหลวงหยางไม่รู้ความเป็นไปของสกุลเผย คิดไว้ว่าหลังจากไปตรวจชีพจรให้นายหญิงใหญ่กับนายหญิงสกุลอวี้แล้ว กว่าจะกลับมาหลินอัน คงต้องรอถึงวันที่สองเดือนสองช่วงเทศกาลมังกรเชิดเศียร[1]โน่น จึงได้ส่งบ่าวรับใช้ข้างกายมาหาเขา ให้เขาส่งข่าวบอกนายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองสักคำ หากมิใช่เขารวบรวมความกล้าไปรายงานเผยเยี่ยน ทั้งเห็นว่าหลายวันนี้เผยหม่านกำลังวุ่นวายกับเรื่องบางอย่างอยู่ จึงคิดหาทุกวิธีที่จะทำได้เพื่อคว้างานนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นเขาคงถูกเผยเยี่ยนโยนเข้าตำหนักเย็น ได้แต่รอวันถูกเขี่ยทิ้งจากจวนสกุลเผย กลับไปทำไร่ไถนาเลี้ยงตนยามแก่อยู่ที่มุมไหนสักแห่งแล้ว

ทว่า นายท่านสามกับสกุลอวี้มีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกันแน่?

หากว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านดาษดื่นทั่วไป คุณหนูอวี้มีหรือจะขอพบนายท่ามสามได้โดยไม่เลือกเวลา หากบอกว่ามีจุดใดที่ผิดปกติ นั่นก็คือนายท่านสามคล้ายว่าไม่ค่อยจะนำพาเรื่องของสกุลอวี้มากนัก หากมีคนพูดถึงเขาจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ หากไม่มีใครเอ่ยถามก็หลงลืมไปเสียอย่างนั้น

ก็เหมือนกับการคารวะวันปีใหม่ครานี้ หากมิใช่หมอหลวงหยางมีเรื่องจำเป็นต้องบอกกล่าวนายหญิงอวี้ล่วงหน้า บวกกับเผยหม่านมีงานรัดตัว ธุระส่งซองชื่อให้สกุลอวี้นี้คงไม่มีทางส่งมาถึงมือเขาแน่

สรุปแล้วเขาต้องคอยประจบสกุลอวี้ไว้หรือไม่หนอ?

ผู้ซึ่งเป็นคนกลิ้งกลอกเข้าได้กับทุกฝ่ายอย่างหูซิ่ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกละล้าละลังไม่อาจตัดสินใจได้

อวี้ถังทางนี้ ย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าซองชื่อสกุลใบเดียวจะทำให้หูซิ่งต้องใช้ความคิดมากมายเพียงนั้น วันที่สองนับจากปีใหม่อวี้หย่วนก็เดินทางไปฟู่หยาง วันที่สี่ถึงเดินทางกลับมา พวกเขาสองครอบครัวนั่งล้อมวงบนโต๊ะอย่างตึงเครียด ไต่ถามถึงสถานการณ์ที่อวี้หย่วนไปบ้านสกุลเซียงในครั้งนี้ อวี้หย่วนกลับหันไปกระพริบตาส่งให้อวี้ถังก่อน แล้วค่อยเอ่ยปากว่า “นายหญิงเซียงแม้ไม่ชอบหน้าคุณหนูเซียง แต่ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นมาหัวเราะเยาะตนลับหลังเป็นอันขาด ข้าไปเยี่ยมสกุลเซียงในครานี้ มีนายหญิงเซียงดูแลเป็นพิเศษ ทั้งไม่ได้เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่มากเกินเหตุแต่อย่างไร ไม่มีใครกล้าละเลยข้าแม้แต่น้อย”

พวกอวี้เหวินต่างก็ถอนหายใจโล่งอก

อวี้ถังรู้ว่าอวี้หย่วนมีเรื่องจะคุยกับนาง จึงหาโอกาสไปพบกับอวี้หย่วนเพียงลำพังที่ห้องน้ำชา

อวี้หย่วนให้ซานมู่เฝ้าหน้าห้องน้ำชาเอาไว้ แล้วกระซิบบอกอวี้ถังว่า “ที่แท้นายหญิงเซียงกับมารดาเลี้ยงของคุณหนูกู้นั้นเป็นสหายสนิทกัน ข้าบังเอิญไปได้ยินคนข้างกายของนายหญิงเซียงพูดว่า ตอนวันปีใหม่แม่นางกู้อาละวาดใหญ่โต ทำเอานายท่านใหญ่กู้โมโหจนล้มป่วยไปแล้ว วันที่หนึ่งถึงกลับปิดประตูไม่รับแขก งานเลี้ยงต่างๆ ในเรือนล้วนมีนายท่านบ้านใหญ่เป็นคนออกหน้าต้อนรับ เจ้าคิดว่า งานแต่งของสกุลหลี่จะล้มครืนเพราะเหตุนี้หรือไม่?”

อวี้ถังหัวเราะเสียงดัง “ไม่เห็นต้องใส่ใจว่างานจะล้มหรือไม่ สกุลกู้ไม่อาจสงบ สกุลหลี่ก็อย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตเป็นสุขเลย” พูดถึงตรงนี้ นางก็ถามอวี้หย่วนอย่างยินดีกับหายนะของผู้อื่นว่า “ท่านพี่ ท่านว่าเราควรส่งคนไปจับตาดูสกุลหลี่หรือไม่? หากว่าช่วงปีใหม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาคงน่าสนุกขึ้นไปอีก!”

อวี้หย่วนผงกศีรษะรัวเร็ว “ข้าให้ซานมู่ไปจับตาดูไว้ ถือโอกาสให้เขาฝึกปรือไปด้วย”

“ให้อาลิ่วไปเถอะ!” อวี้ถังบอก “พวกเราไม่อาจทำให้โจ่งแจ้งเกินไปนัก!”

สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะชอบใจ จากนั้นอวี้หย่วนก็ไปจัดการเรื่องนี้ต่อ

รอถึงวันที่หกนับจากปีใหม่ พวกเขาทั้งบ้านก็ไปคารวะสกุลเว่ย วันที่สิบสี่เดือนแรกอวี้ถังก็ตั้งใจไปหาหม่าซิ่วเหนียง ทั้งนัดแนะว่าวันรุ่งขึ้นจะไปชมโคมลอยด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าพอกลับบ้านไปจะเจอประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ไร้ซึ่งความรื่นเริงของปีใหม่โดยสิ้นเชิง

นางตกใจแทบทรุด รีบให้ซวงเถาไปเคาะประตู

ด้านในมีเสียงกล้าๆ กลัวๆ ของซานมู่ลอยข้ามมาว่า “ใคร ใครน่ะ?”

“คุณหนูกลับมาแล้ว” ซวงเถาตะโกนตอบเสียงดัง

ประตูส่งเสียง ‘แอ้ด’ แล้วเปิดออก ซานมู่เรียกนาง “คุณหนูใหญ่” เสียงหนึ่งด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนเบี่ยงตัวหลบให้นางเดินเข้ามา

ซวงเถาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรรึ?”

ซานมู่หันไปมองรอบด้าน เห็นว่าไม่มีคนนอก ก็ลากซวงเถาเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยกับอวี้ถังด้วยความหวาดกลัวว่า “คุณหนู นายท่านรองไปหาเถ้าแก่ใหญ่ถง ไม่อยู่ที่เรือนขอรับ เมื่อครู่ฮูหยินหลี่มาโวยวานที่นี่ นายหญิงรองกลับปิดประตูไม่ให้เข้า นางอยู่ด้านนอกเอาแต่พูดจาไม่น่าฟัง พอนายหญิงรองโมโห บอกว่าจะไปทวงถามเหตุผลกับสกุลหลี่บ้านสายหลัก นางถึงได้ยอมจากไปขอรับ”

อวี้ถังทำหน้าเครียดทันที ทางหนึ่งก็สาวเท้าฉับๆ ไปยังห้องคนสกุลเฉิน ทางหนึ่งก็หันไปถามซานมู่ว่า “ส่งข่าวไปบอกท่านพ่อข้าแล้วหรือยัง?”

“ไปแล้วขอรับ!” ซานมู่ก้าวขาตามหลังอวี้ถังไปติดๆ “อาเสาออกไปตามหานายท่านรองแล้ว”

“แล้วมารดาข้าเล่า?” อวี้ถังถามต่อ

“ป้าเฉินไปตามนายหญิงใหญ่มาแล้วขอรับ” ซานมู่ตอบ “ตอนนี้นายหญิงใหญ่กำลังคุยเป็นเพื่อนอยู่กับนายหญิงรอง!”

อวี้ถังค่อยเบาใจลงได้ เลิกม่านหน้าห้องคนสกุลเฉินให้เปิดออกแล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน

“ท่านแม่!” นางร้องเรียก เห็นว่าคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังนั่งอยู่ด้วยกัน สีหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ จึงอดจะมึนงงอยู่ตรงนั้นมิได้

“อาถังกลับมาแล้วรึ?” คนสกุลหวังหันมากวักมือเรียกอวี้ถัง “มานั่งนี่เร็วเข้า!” ทั้งยังถามนางอย่างใส่ใจว่า “หิวแล้วหรือยัง? ให้ซวงเถาไปเคี่ยวโจ๊กงาดำสักถ้วยดีหรือไม่?”

อวี้ถังหันไปมองคนสกุลเฉิน จากนั้นเปลี่ยนไปมองคนสกุลหวัง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “มิใช่ว่าฮูหยินหลี่มาก่อเรื่องที่เรือนหรือเจ้าคะ?”

เหตุใดมารดากับป้าสะใภ้ของนางถึงได้ยิ้มหน้าระรื่นเช่นนี้ได้?

เกิดเรื่องอะไรที่นางไม่รู้อีกแล้วรึ?

————————————————————-

[1]เทศกาลมังกรเชิดเศียร เป็นเทศกาลขอฝนของคนจีน จะตรงกับช่วงต้นเดือนมีนาคมพอดี พื้นดินเริ่มคลายความหนาว อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ชาวนาชาวไร่อำลาช่วงพักหลังเก็บเกี่ยว กลับมาเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่พวกเขาต้องการน้ำฝนเป็นอย่างมากเพื่อให้เมล็ดพืชที่หว่านไปเจริญงอกงาม

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset