ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 105 ต้นไม้

ทุกคนหันมามองอวี้ถังที่หลุดขำ

อวี้ถังละล่ำละลักข่มกลั้นรอยยิ้ม เอ่ยกับบิดา “ท่านจะไปทำอะไรเจ้าคะ? หรือใคร่จะเล่าเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเราสองสกุลให้สกุลกู้ทราบด้วยตัวเอง?”

อวี้เหวินเลิกคิ้ว “ไยจะทำไม่ได้?”

คนสกุลเฉินได้ฟังก็ใจเต้นระรัว กลัวว่าพ่อลูกคู่นี้จะบุ่มบ่ามก่อเรื่องโดยไม่สนใจอะไร รีบทำท่าทีโมโหขึ้นมา “เหตุใดยิ่งพูดก็ยิ่งไร้เหตุผลขึ้นเรื่อยๆ! พูดให้ร้ายผู้อื่นลับหลังนับเป็นเรื่องอะไรกัน เป็นเรื่องดีอย่างนั้นรึ?”

สองพ่อลูกไม่อยากให้คนสกุลเฉินวิตกกังวล พากันปิดปากเงียบ

คนสกุลหวังเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง “เอาเถิดๆ อย่างไรสกุลพวกเราก็ไม่ได้เสียเปรียบ ส่วนคนอื่นจะทุกข์จะสุข ก็หาใช่ญาติสนิทพวกเราไม่ เกี่ยวอันใดกับสกุลพวกเรากัน? ได้ยินว่าสกุลเผยเป็นผู้ออกเงิน พรุ่งนี้ทางการจะจัดงานเทศกาลโคมไฟที่ถนนฉางซิ่ง วันนี้ทุกคนก็เข้านอนพักผ่อนกันเร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้ไปชมเทศกาลโคมไฟที่ถนนฉางซิ่งด้วยกันดีกว่า?”

คนสกุลเฉินก็ไม่ได้โมโหสองพ่อลูกอย่างจริงจัง คนสกุลเฉินส่งบันไดให้ก้าวลงแล้ว นางย่อมตามน้ำไป เอ่ยกับคนสกุลหวังด้วยรอยยิ้ม “กำลังคิดจะชวนพี่สะใภ้และพี่ใหญ่พอดี นึกไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะออกปากชวนก่อน พรุ่งนี้พวกเราจะไปเวลาใด? นัดเจอที่ไหนกันดี?”

สองพี่สะใภ้น้องสะใภ้ปรึกษาเรื่องงานเทศกาลโคมไฟของพรุ่งนี้ดิบดีแล้ว คนสกุลเฉินก็ส่งคนสกุลหวังออกจากประตูด้วยตัวเอง

อวี้เหวินเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยกับอวี้ถัง “เจ้าตามข้ามา”

อวี้ถังไม่กล้าพูดมาก ตามบิดาไปที่ห้องหนังสือแต่โดยดี

อวี้เหวินยอบกายนั่งบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างหมดแรง ตำหนิลูกสาว “เจ้ายังทำอะไรไปอีกบ้าง? ยามนี้บอกกับข้ามาทีละเรื่อง ข้าจะไม่ซักไซ้เอาความ มิเช่นนั้นก็คัดลอก ‘คัมภีร์กตัญญู’ มาให้ข้าหนึ่งหมื่นครั้ง”

นั่นไม่ใช่จะคัดจนมือบวมมือพองหรอกรึ!

อวี้ถังเผยสีหน้าเจื่อน “ไม่ได้ตั้งใจปิดบังท่านจริงๆ เจ้าค่ะ แค่ไม่อยากลากท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับท่าน”

อวี้เหวินเอ่ยอย่างร้อนใจ “เจ้าไม่บอกข้า ฮูหยินหลี่กลับมาหาถึงในบ้าน ยังดีที่วันนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าตามมาทัน หากกระทบกระเทือนถึงมารดาเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”

อวี้ถังก้มหน้ายอมรับผิด

อวี้เหวินสั่งสอนนางไปอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อนำเรื่องนี้บอกกับสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าสกุลกู้จะมีท่าทีกับหลี่ตวนอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้ายังส่งคนไปจับตาดูหลี่ตวน อยากเห็นเรื่องขายหน้าของเขา ผลลัพธ์เป็นอย่างไร อยากพาตัวเองติดร่างแหไปด้วยหรือ?”

ทางด้านสกุลหลี่ คนสกุลหลินระเบิดโทสะทำลายถ้วยชามเครื่องชาแตกไปหลายใบ “ล้วนต้องโทษสกุลอวี้ หากไม่ใช่พวกเขา ลูกชายของข้าจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าวันที่สองลูกข้าจะเข้าไปอวยพรปีใหม่ พ่อตาแม่ยายไม่มาพบก็แล้วไป คาดไม่ถึงว่าถึงขั้นให้ข้ารับใช้คนหนึ่งมาต้อนรับลูกชายข้า พวกเขาหมายความว่าอย่างไรกัน? คิดว่าสกุลพวกเราอยู่ต่ำกว่าพวกเขา? ข้ากลับอยากเห็นว่า สกุลกู้วางแผนจะทำอย่างไรกับงานแต่งครั้งนี้?”

หลี่ตวนเพียงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือทนเท่านั้น

นับตั้งแต่สาเหตุการตายของเว่ยเสี่ยวซานถูกเปิดเผย เรื่องราวก็คล้ายกับรถม้าที่สูญเสียการควบคุม จะวิ่งเตลิดไปทิศทางใดเขาก็ไร้ทางคาดเดา เขารู้สึกเหมือนว่าข้างหลังมีมือคู่หนึ่งที่มองไม่เห็น คอยผลักเขาไปตามทาง

แต่ว่า หากเรื่องเป็นดั่งที่มารดาเขาพูด จะเกี่ยวข้องกับสกุลอวี้ได้รึ?

สกุลอวี้ไม่ใช่สกุลบัณฑิตหรอกรึ?

อวี้เหวินผู้นั้นก็เป็นสุภาพชน จะกล้าทำเรื่องลับหลังสกุลพวกเขาได้อย่างไรกัน?

หลี่ตวนมองมารดาที่โมโหจนริมฝีปากสั่นระริก คิดว่าจะเอ่ยปลอบนางอย่างไรดี เงยหน้าขึ้นกลับเห็นญาติผู้พี่ หลินเจวี๋ย ส่งสายตาให้เขานอกหน้าต่าง

เพราะภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ นอกจากหลินเจวี๋ยจะไม่ได้กลับฝูเจี้ยนไปฉลองปีใหม่แล้ว ยังต้องคิดวิธีหาอาจารย์ที่สามารถเข้าม้วนภาพวาดได้มาซ่อมแซมแผนที่นั่นให้เหมือนใหม่อีกครั้ง รอจนวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถส่งคนไปส่งจดหมายให้สกุลเผิง

นับว่าความพยายามในช่วงนี้ของเขาไม่สูญเปล่า

เขาผงกศีรษะให้หลินเจวี๋ยอย่างไร้สุ้มเสียง หลินเจวี๋ยเข้าใจความนัย กลับไปรอในห้องรับรองแขกของตัวเอง หลี่ตวนเอ่ยปลอบมารดาไม่กี่คำ เมื่อสบโอกาสก็ปลีกตัวออกมา ไปพบกับหลินเจวี๋ย

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลี่ตวนพบหน้าเขาก็เอ่ยทันที “กระทั่งมารดาข้ายังต้องปิดบัง!”

“สตรีนั้นผมยาว แต่ความรู้กลับตื้นเขิน” หลินเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย

อาหญิงของเขาก็ไม่มีข้อยกเว้น

แทนที่ยามนี้จะกังวลเรื่องหลี่ตวนได้รับการเหยียดหยามจากสกุลกู้ ยังมิสู้สนใจเรื่องแผนที่นั่นว่าเป็นของจริงหรือของปลอม

ขอเพียงสกุลหลี่รุ่งเรืองเฟื่องอำนาจ สกุลกู้จะทำใจละทิ้งบุตรเขยเต่าทองคำ[1]อย่างหลี่ตวนได้รึ?

อย่างไรผู้หญิงก็มิอาจแยกเรื่องสำคัญได้วันยังค่ำ

“ข้าคิดว่าก่อนจะส่งแผนที่ให้สกุลเผิง พวกเราควรลอกภาพไว้เสียหน่อย” หลินเจวี๋ยเอ่ยถึงความคิดที่ผ่านการใคร่ครวญของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พวกเราต้องป้องกันเผื่อสกุลเผิงคิดเล่นแง่ผิดสัญญา”

ถึงเวลานั้นหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พวกเขาย่อมสามารถนำแผนที่เลียนแบบไปหาผู้มีอิทธิพลคนอื่นที่ไว้ใจได้

หลี่ตวนมองทะลุปรุโปร่งทันที เขาเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราส่งจดหมายไปหาสกุลเผิงก่อน กล่าวว่าได้ภาพมาอยู่ในมือแล้ว ถามพวกเขาว่าจะให้ส่งภาพไปอย่างไร ถ่วงเวลาไว้อีกเล็กน้อย?”

การส่งจดหมายกลับไปกลับมาเช่นนี้ ก็สามารถยืดเยื้อเวลาได้กว่าสิบวันถึงครึ่งเดือนแล้ว

หลินเจวี๋ยเห็นว่าหลี่ตวนเข้าใจความหมายของตน แววตาก็ปรากฏท่าทีโล่งใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขากดเสียงเบา “แล้วแผนที่นี้?”

หลี่ตวนก็เข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยอย่างเด็ดขาด “พวกเราสองสกุล คนละแผ่น”

หลินเจวี๋ยพอใจแล้ว “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนไปพบคนสกุลเผิงด้วยกัน”

สรุปแล้ว ก็ยังคงกลัวสกุลหลี่จะกลืนผลประโยชน์ของสกุลเผิงเพียงผู้เดียว

หลี่จวนไม่ปรากฏสีหน้าใดออกมา พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตามหลักก็ย่อมเป็นเช่นนั้น!”

หลินเจวี๋ยหัวเราะร่อ

ด้านสกุลอวี้ พลบค่ำอวี้ป๋อกลับมาจากร้านค้า ได้ยินว่ามีคนจากสกุลหลี่มาก่อเรื่องที่สกุลอวี้ จึงตั้งใจเข้ามาดูอาการคนสกุลเฉินพร้อมคนสกุลหวัง อวี้หย่วนกลับไม่ได้มาด้วย

อวี้ป๋อเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เด็กคนนั้น หลายวันมานี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร? ออกไปเช้าตรู่กลับบ้านมืดค่ำ ช่วงปีใหม่จะพบหน้ายังยากเย็น หากไม่ใช่ข้าเห็นแก่เขากำลังจะแต่งงาน มิเช่นนั้นคงจะจับเขามาตีลงโทษไปนานแล้ว”

ช่วงปีใหม่ มีเด็กหนุ่มสกุลใดบ้างไม่เตร็ดเตร่เที่ยวเล่นไปทั่ว?

อวี้เหวินกลับไม่คิดว่าอวี้หย่วนไม่เข้ามาเป็นเรื่องผิดอันใด ยังคงเกลี้ยกล่อมอวี้ป๋อ “เจ้าก็พูดเองว่าเขาจะแต่งงานแล้ว ภายหลังก็อย่าได้บ่นเขานักเลย หากลูกสะใภ้แต่งเข้ามา เจ้าไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ เขาจะยังยืดตัวตรงอยู่เบื้องหน้าภรรยาได้อย่างไร”

อวี้ป๋อบ่นพึมพำอีกไม่กี่คำ ก็ปล่อยเรื่องอวี้หย่วนไป

วันถัดมาเป็นวันที่สิบห้าเดือนอ้าย อวี้หย่วนยังคงไม่เห็นเงาเช่นเคย ด้านอวี้ถังไปบ้านหม่าซิ่วเหนียง มีเพียงสองพี่น้องอวี้ป๋อ อวี้เหวิน คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟด้วยกัน

อวี้หย่วนเป็นดั่งที่อวี้ป๋อว่าจริงๆ ไม่รู้ว่ายุ่งวุ่นวายกับอะไร

จวบจนวันที่สิบเจ็ดเดือนอ้ายโคมไฟถูกรื้อเก็บ ปีใหม่ได้ผ่านไปอย่างเป็นทางการ ร้านรวงทุกแห่งหนจึงเริ่มเปิดกิจการ เวลานี้อวี้หย่วนจึงโผล่ขึ้นมาจากที่ใดไม่รู้ เอ่ยกับอวี้ถังอย่างตื่นเต้น “ข้าหาต้นไม้พันธุ์ที่เจ้าว่าพบแล้ว เรียกว่าต้นซาจี๋ [2]เป็นเหมือนที่เจ้าพูดไม่ผิด ยิ่งปลูกในดินที่ไม่ดีก็ยิ่งเติบโตได้ง่าย”

อวี้ถังได้ฟังก็ตื่นเต้นขึ้นมา รีบดึงอวี้หย่วนไปคุยในห้องหนังสือ

อวี้หย่วนเล่าให้นางฟัง หลายวันมานี้เขาตามเหยาซานเอ๋อร์ไปเจอคนทำการค้าหลายกลุ่มด้านนอก หนึ่งในนั้นมีคนชื่อว่า เกาฉี เดินทางติดตามพ่อค้าเกลือคนหนึ่ง เคยพบต้นไม้ชนิดนี้แถวตะวันตกเฉียงเหนือ “เขายังพูดอีกว่า หากพวกเราอยากได้จริงๆ เขาสามารถช่วยติดต่อคนส่งกล้าไม้เข้ามาให้ได้ แต่หนึ่งตำลึงต่อหนึ่งกล้า ต้องจ่ายมัดจำก่อน”

“แพงขนาดนี้เชียว!” อวี้ถังตกตะลึง

เดิมนางคิดว่าต้นไม้นี้ดูแลง่าย ราคาไม่แพง สกุลเผยจึงได้ปลูกต้นไม้ชนิดนี้ที่พื้นที่ภูเขา จากนั้นก็ทำเป็นผลไม้เชื่อมขาย

หากต้นกล้าต้นหนึ่งต้องใช้หนึ่งตำลึง พวกเขาจะต้องเสียเงินเท่าใดกันล่ะ?

หรือเรื่องภายในนี้ยังมีอะไรที่นางไม่รู้อีก?

อวี้หย่วนได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นก็คล้ายถูกสาดด้วยน้ำเย็น ความตื่นเต้นและดีใจที่หาต้นไม้ชนิดนั้นเจอชะงักไปหมด เขาเหมือนมะเขือที่ถูกแช่แข็ง ห่อเหี่ยวโดยพลัน “เช่น เช่นนั้นพวกเรายังจะปลูกต่อหรือไม่?”

อวี้ถังก็ตัดสินใจไม่ถูก

นางเอ่ย “ท่านรอก่อน ให้เวลาข้าครุ่นคิดอย่างละเอียดเสียหน่อย”

อวี้ถังขบคิดว่าจะไปขอให้เผยเยี่ยนช่วยเปิดหูเปิดตาดีหรือไม่ จะได้กระจ่างชัดว่าเวลานั้นเหตุใดเผยเยี่ยนจึงคิดจะปลูกต้นซาจี๋ที่พื้นที่บริเวณภูเขาของสกุลพวกเขา…

เสิ่นฟางกลับเมืองหลินอันมาพร้อมกับเสิ่นซ่านเหยียน

เสิ่นซ่านเหยียนตั้งใจเชิญอวี้เหวินเข้าไปพูดคุย “ต้นไม้ชนิดนั้นที่เจ้าเอ่ยถึง พี่ใหญ่ข้ามีลูกศิษย์รับราชการอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ สามารถช่วยนำกลับมาได้ เพียงแต่ค่าขนส่งนั้นไม่ใช่น้อยเลย เกรงว่าเจ้ายังต้องคำนวณให้ละเอียดถี่ถ้วน”

อวี้เหวินได้ฟัง ใจก็เต้นตึกตัก “ต้นหนึ่งเท่าใด?”

เสิ่นซ่านเหยียนเอ่ย “คำนวณแล้วค่าขนส่งรอบหนึ่งก็ประมาณสามสิบเหรียญอีแปะต่อต้น”

แพงอยู่ไม่น้อยจริงๆ

แต่นี่เป็นความต้องการของอวี้ถัง

เขากัดฟันเอ่ย “เช่นนั้นส่งกลับมาให้พวกเราลองปลูกสักสิบต้นยี่สิบต้นก่อนได้หรือไม่”

“นี่ไม่ใช่ปัญหา” เสิ่นซ่านเหยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้เขาหาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการปลูกต้นซาจี๋กลับมาสักคนก็เพียงพอแล้ว หากปลูกได้ เขาก็สามารถหาเงินใช้ชีวิตทำกินอยู่ที่นี่ได้เช่นกัน”

หากจะปลูกต้นไม้จริงๆ อวี้หย่วนก็ดี อวี้ถังก็ช่าง ล้วนไม่อาจพำนักในป่าเขาได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องหาคนคอยช่วยเหลือ

“ได้!” อวี้เหวินตอบรับอย่างสบายใจ กลับไปบอกเรื่องนี้กับอวี้ถัง

อวี้ถังอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก

ไฉนราคาจึงห่างไกลกันลิบลับ!

หรือเพราะลู่ทางที่แตกต่างกัน?

อวี้ถังไม่ได้คิดมากมาย ให้อวี้หย่วนไปปฏิเสธคนที่ชื่อว่าเกาฉีผู้นั้น กล่าวว่าผู้ใหญ่ในสกุลได้ไหว้วานให้คนไปซื้อกล้าไม้ให้แล้ว

นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์

อวี้หย่วนไม่ได้ใส่ใจนัก ทักทายพูดคุยกับเกาฉีเป็นมารยาทก็จบเรื่องนี้ไป เริ่มวิ่งโร่ไปยังเรือนเก่าของสกุลทุกวัน วัดขนาดพื้นที่ เตรียมจัดการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ผ่านไปไม่กี่สิบวัน ก็ถูกแดดเผาจนคล้ำแล้ว

คนสกุลหวังไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปในป่าแล้ว “นี่เป็นแดดต้นฤดูใบไม้ผลิ ดูแล้วเหมือนจะอบอุ่น ความจริงกลับร้อนแรงเป็นที่สุด ไม่นานเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว หากช่วงนี้ถูกแดดเผาจนดำเป็นถ่านเช่นนี้ คุณหนูเซียงยังจะคิดว่าคนที่ตนเห็นยามดูตัวกับคนที่จะแต่งงานกันเป็นคนละคนกันน่ะสิ!”

อวี้หย่วนหัวเราะแหย ไม่เข้าไปในป่าอีก ตั้งอกตั้งใจเตรียมเรื่องงานแต่งขึ้นมา

อวี้ถังก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ช่วยญาติผู้พี่แต่งพี่สะใภ้เข้ามาก่อนจึงจะเป็นเรื่องสำคัญกว่า

จ้างพ่อครัว คนเล่นกลองฆ้องเป่าแตร ขบวนแห่เกี้ยว…เรื่องยิบย่อยอีกใหญ่โต

หม่าซิ่วเหนียงมาส่งของขวัญอวยพร

อวี้ถังเชิญนางเข้าไปพูดคุยในห้องตนเอง

หม่าซิ่วเหนียงเอ่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “เดิมทีตั้งใจจะนำผ้าอาภรณ์ใหม่มาให้พี่ชายและพี่สะใภ้เจ้า แต่เรื่องราวในบ้านเยอะเกินไปจริงๆ ข้าก็ปลีกตัวไม่ได้ สามีจึงตัดสินใจโดยพลการวาดภาพติดผนังในห้องโถงให้พี่ชายเจ้าหลายแผ่น อวยพรให้สองสามีภรรยารักใคร่สุขสมหวัง ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

อวี้ถังทราบว่าช่วงนี้หม่าซิ่วเหนียงงานล้นมืออยู่บ้าง ดึงมือนางปลอบใจไม่กี่ประโยค ก่อนจะรั้งตัวนางกินข้าวด้วยกัน เวลานี้จึงส่งนางออกไป

คนสกุลหวังได้ฟังก็นำของขวัญอวยพรของหม่าซิ่วเหนียงมาเปิดดูอย่างแปลกใจ

จางฮุ่ยวาดภาพทับทิม นกสี่เชวี่ย[3] ผูเถา[4] และลูกไหน ล้วนเป็นภาพที่แฝงความหมายการอวยพรทั้งสิ้น สิ่งที่ทำให้คนสกุลเฉินและอวี้ถังคาดไม่ถึงคือ ภาพพวกนี้วาดได้ดียิ่ง กระทั่งคนสกุลหวังที่ไม่ค่อยเข้าใจภาพวาดยังชื่นชอบจนวางไม่ลง “นึกไม่ถึงว่าคุณชายจางจะมีฝีมือการวาดภาพเช่นนี้ ภายหลังแม้คุณชายจางจะสอบจวี่เหรินไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องปากท้องแล้ว”

คำพูดที่คนสกุลหวังเอ่ยออกมาโดยไม่ตั้งใจกลับพาให้อวี้ถังคิดคล้อยตาม ลอบครุ่นคิดว่าจะเชิญจางฮุ่ยช่วยวาดแบบเครื่องลงรักให้สกุลตัวเองดีหรือไม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากสามารถแก้ไขการขาดแคลนอาจารย์วาดแบบในร้านค้า ยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมให้จางฮุ่ยด้วย

————————–

[1]บุตรเขยเต่าทองคำ หมายถึงลูกเขยที่มีฐานะสูงส่งร่ำรวย

[2]ต้นซาจี๋ คือ ซีบัคธอร์น ผลไม้ชนิดหนึ่ง ผลสีเลืองส้มเล็กๆ รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน

[3]นกสี่เชวี่ย เป็นนกมงคลของจีน ลักษณะคล้ายนกกางเขน เป็นสัญลักษณ์แทนความสุขและโชคดี

[4]ผูเถา คือ องุ่น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset