ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 122 โรงน้ำชา

อวี้ถังเม้มปากแล้วยืนมองอยู่ข้างๆ

นางมองเห็นสีหน้าร้องทุกข์ของคนสกุลเซียงได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

มิแปลกที่ชาติก่อนอวี้หย่วนกับคนสกุลเกาใช้ชีวิตอย่างเลอะเลือนไปวันๆ

คนในสกุลนางอยู่กันอย่างเรียบง่าย ญาติผู้พี่ของนางคนนี้จึงไม่เคยคิดมากเรื่องคนในครอบครัวเลย

ทว่า ที่คนสกุลเซียงมีความกังวลเกี่ยวกับตน นั่นเป็นเพราะนางให้ความสำคัญกับอวี้หย่วน

พี่สะใภ้เช่นนี้ ถึงจะอยู่ร่วมกับญาติผู้พี่ของนางอย่างเป็นสุขได้

นางก็ไม่ใช่คนประเภทชอบหาเรื่องทั้งที่ไม่มีประเด็นเสียหน่อย

รอให้นางแต่งงาน มีสามีของตนเองที่รักใคร่ภรรยา ก็จะได้ไม่ต้องแย่งชิงตำแหน่งไข่มุกบนฝ่ามือของญาติผู้พี่แล้ว หากต้องแย่งชิง สมควรเป็นบรรดาลูกๆ ของญาติผู้พี่และพี่สะใภ้เสียมากกว่า

อวี้ถังปีนขึ้นฝั่งแล้วยืนนิ่งๆ เพื่อปรับตัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านไม่ต้องห่วงข้า ท่านไปดูแลพี่สะใภ้เถอะ หากข้าไม่สบายตรงไหน ไว้จะบอกกับท่านเอง”

อวี้หย่วนถึงเพิ่งจะเข้าใจสถานการณ์

สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนจะกระแอมเสียงเบาๆ แสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าก็เดินให้ดี โรงเตี๊ยมที่พวกเราพักอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือเท่าไร เจ้าต้องตามพี่สะใภ้เจ้าไว้ ห้ามวิ่งเล่นไปทั่ว เข้าใจหรือไม่?”

“ข้ารู้แล้ว!” อวี้ถังรับคำพร้อมส่งยิ้มหน้าบานให้ ส่วนคนสกุลเซียงก็หน้าแดงเรื่อเช่นกัน

ไม่เหมือนกับเมืองหังโจว พวกเขาไม่มีคนรู้จักอยู่ที่เมืองซูโจวเลย จึงเลือกพักโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างใหญ่ แม้ราคาจะสูงกว่าหน่อย แต่เพราะมีสตรีมาด้วย จึงพักได้อย่างปลอดภัยกว่า

อวี้หย่วนพาอวี้ถังกับคนสกุลเซียงมาส่งที่โรงเตี๊ยม กำชับอวี้ถังและคนสกุลเซียงด้วยคำเดิมๆ อยู่เป็นนานสองนาน พร้อมข่มขู่ซวงเถากับซย่าเหลียนก่อนไปว่า “ถ้านายหญิงกับคุณหนูใหญ่มีผมขาดไปสักเส้นเดียว พวกเจ้าก็อย่าหวังจะตามข้ากลับไปด้วยเลย”

ซย่าเหลียนเพิ่งเข้ามาอยู่สกุลอวี้ไม่นาน ทั้งไม่เคยได้พูดคุยสนทนากับอวี้หย่วน พอได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นระริก ซวงเถานั้นอยู่กับสกุลอวี้ตั้งแต่เล็กจนโต รู้ว่าอวี้หย่วนแค่เป็นห่วงอวี้ถังกับคนสกุลเซียง จึงพยักหน้ารัวเร็ว แล้วเอ่ยออกไปก่อนว่า “ท่านวางใจได้ หากว่านายหญิงกับคุณหนูใหญ่อยากจะออกไปข้างนอก ข้าก็จะห้ามเอาไว้เจ้าค่ะ”

อวี้หย่วนถึงค่อยวางใจลงได้ เขากลับเข้าห้องพักไปเก็บของพร้อมกับซย่าผิงกุ้ย จากนั้นก็ออกไปยังร้านค้าขายสี

อวี้ถังกับคนสกุลเซียงศีรษะแตะหมอนก็หลับปุ๋ยไปทันที กระทั่งอวี้หย่วนกลับมา ซวงเถาเข้ามาปลุกสองคนให้ตื่น พวกนางถึงค่อยลุกมาเปลี่ยนเสื้อด้วยความสะลึมสะลือ ไม่ต้องพูดถึงเดินเที่ยวนอกห้อง กระทั่งคนยังไม่ยอมลงจากเตียงด้วยซ้ำ

อวี้หย่วนพออกพอใจมาก หันไปปรึกษาคนสกุลเซียงว่า “เจ้าอยากกินข้าวในห้องหรืออยากไปกินร้านอาหารเล็กๆ ข้างโรงเตี๊ยมล่ะ?”

คนสกุลเซียงมองอวี้ถังที่งดงามเหมือนดอกไม้ คิดว่ากินในห้องน่าจะปลอดภัยกว่า ทั้งยังเอ่ยว่า “คืนนี้พวกเราก็อย่าออกไปไหนอีกเลย แค่เดินเที่ยวตอนกลางวันก็พอแล้ว”

อวี้ถังมาครั้งนี้เพราะอยากจะเจอเจียงหลิง

ชาติก่อน นางได้ยินคนพูดว่าเจียงหลิงอาศัยอยู่ข้างท่าเรืออวิ้นเหอเมืองซูโจว นางอยากหาโอกาสสนทนากับเจียงหลิงสักครั้ง จากนั้นค่อยร่วมหุ้นค้าขายทะเลกับเจียงหลินสักหลายครั้ง หากว่าทุกคนร่วมมือกันได้ราบรื่น ก็ค่อยคิดเรื่องแผนที่ต่อ

นางเรียนรู้จนเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากชาติก่อนเป็นเพียงเรื่องผิวเผิน ทุกคนต้องผ่านการพูดคุยพบหน้าจริงๆ จังๆ ถึงจะรู้ว่าคนผู้หนึ่งมีนิสัยใจคออย่างไร

อวี้ถังย่อมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเต็มร้อย

คนสกุลเซียงเห็นว่านางไม่คัดค้าน ก็ถอนหายใจโล่งอก นางสั่งอาหารที่คิดว่าอวี้ถังน่าจะชอบกินด้วยรอยยิ้ม สั่งให้ซวงเถาพาอวี้ถังกลับไปรอที่ห้องของพวกนางก่อน ส่วนตนเองคอยช่วยอวี้หย่วนแต่งตัวหวีผม

แม้ช่วงกลางวันจะยาวนาน แต่เมื่อกินมื้อเย็นเสร็จ ท้องฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ มืดลง อวี้หย่วนถามอวี้ถังว่ามีแผนการอย่างไรต่อ

อวี้ถังไม่คิดจะปิดบังอวี้หย่วนกับคนสกุลเซียง เพียงแต่ชาติก่อนนางไม่เคยพบเจียงหลิง ทั้งไม่รู้ว่าเจียงหลิงเป็นคนเช่นไร ถ้าพาญาติผู้พี่และพี่สะใภ้บุ่มบ่ามเข้าไปหาเจียงหลิงเช่นนี้ หากเกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้นมาคงต้องยุ่งยากมากแน่ๆ

นางเพียงบอกว่า “ข้าคิดว่าจะไปลองสืบแถวท่าเรือดูก่อน ทำการค้าทางทะเล อย่างไรก็หนีท่าเรือไม่พ้น…พวกเขานำของจากนอกด่านกลับมา ย่อมต้องหาที่ทางขายของออก! พวกเราลองไปสอบถามดู ไม่มีทางผิดไปจากนี้แน่”

คนสกุลเซียงพอจะรู้แผนการของพวกเขาแต่แรกแล้ว

นางคิดว่าออกจะเสี่ยงเกินไป แต่สองพี่น้องสกุลอวี้ต้องการทำกิจการนี้ นางรู้สึกว่าลองดูก็ไม่เสียหาย อย่างแย่ๆ ก็แค่เสียเงินมากหน่อยเท่านั้น ตอนที่นางแต่งงานบิดาให้สินเดิมมาไม่น้อย สามารถให้สองพี่น้องใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบากอะไร

คนสกุลเซียงก็สั่งคนให้ไปสืบข่าวดูเช่นเดียวกัน

ตอนนี้พอได้ยินอวี้ถังพูดขึ้นมา นางจึงเอ่ยว่า “ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน มีเพียงพวกที่รู้จักกับคนเดินเรือเท่านั้น จึงจะรู้แน่ชัดว่าสกุลใดที่เก่งกาจหรือผู้นำของกลุ่มเรือใดที่เข้าท่าที่สุด ข้าว่าแผนนี้ของน้องสาวไม่เลวเลย”

อวี้หย่วนไม่คิดว่าคนสกุลเซียงจะเป็นฝ่ายทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยตนเอง

แน่นอนว่า เขาย่อมดีใจหากคนสกุลเซียงไม่ขัดขวางสิ่งที่เขาทำ แต่ที่คนสกุลเซียงลุกขึ้นมาสนับสนุนเขาด้วยตนเองเช่นนี้ เขากลับรู้สึกเป็นครอบครัวที่ร่วมสุขทุกข์ด้วยกัน มีแต่จะปลื้มปิติยิ่งกว่าเดิม

เขาหัวเราะจนแทบหุบปากไม่ลง “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ทำตามที่อวี้้ถังบอก พวกข้าไปสืบข่าวที่ท่าเรือก่อน ส่วนพวกเจ้าก็เดินเที่ยวเล่นไปพลางๆ”

หรือพูดอีกอย่างว่า อวี้หย่วนไม่คิดจะพาพวกนางไปสืบเรื่องเหล่านี้ด้วยแต่แรก

อวี้ถังคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว

นางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ท่านให้ข้ากับพี่สะใภ้ไปด้วยเถอะนะเจ้าคะ! พวกเราจะได้ไปดูด้วยว่าท่าเรือของซูโจวมีหน้าตาเช่นไร? ถ้าไม่อย่างนั้นตอนที่ท่านไปสืบข่าว พวกข้าก็จะนั่งดื่มชารออยู่ที่โรงน้ำชา จะได้ฟังเสียงซุบซิบนินทาของผู้อื่นไปด้วย”

โรงน้ำชาในพื้นที่เหมาะแก่การหาข่าวที่สุดแล้ว พวกเขาไปตามสืบไล่ถาม อย่างไรก็ต้องไปโรงน้ำชาที่อยู่ข้างกับท่าเรือซูโจวเป็นสถานที่แรกอยู่ดี

หากให้ทุกคนแยกย้ายคนละทาง มิสู้ให้ภรรยากับน้องสาวอยู่ในสายตาของเขาจะดีกว่า

อวี้หย่วนพิจารณาดู จากนั้นก็ตอบตกลง

อวี้ถังตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

พวกเขาสองสามคนพูดคุยกันต่ออีกหน่อย ทราบว่าอวี้หย่วนหาซื้อสีน้ำกลับมาได้อย่างราบรื่น และด้วยกลัวว่าพวกนางจะทนกลิ่นสีไม่ไหว จึงบอกให้พ่อค้าสีจัดคนไปส่งสินค้าถึงเมืองหลินอัน ทุกคนถึงค่อยแยกย้ายกันไป

คนสกุลเซียงออกเดินทางไกลกับสามีเป็นครั้งแรก นางตื่นเต้นจนนอนไม่ค่อยหลับ กระซิบคุยกับอวี้หย่วนเป็นครึ่งค่อนคืน เช้าวันที่สองจึงนอนตื่นสาย ตอนที่ล้างหน้าหวีผมออกจากห้อง พระอาทิตย์ก็ลอยเต้งกลางฟ้าแล้ว คนสกุลเซียงหน้าแดงจนแทบหยดออกมาเป็นเลือด พูดขอโทษขอโพยอวี้ถังไม่หยุดปาก

อวี้ถังเม้มปากแอบหัวเราะ ทำราวกับว่าไม่รู้ไม่เห็น นางคล้องแขนคนสกุลเซียงอย่างสนิทสนม แล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ท่านเคยไปดื่มชาที่โรงน้ำชาหรือไม่? ได้ยินว่าด้านในโรงน้ำชามีดนตรีขับร้องด้วย? ถ้าพวกเราเข้าไปจะทำให้ผู้อื่นประหลาดหรือไม่เจ้าคะ?”

คุณชายสกุลเว่ยหลายคนต่างก็เป็นคนเรียบร้อย กระทั่งเมืองหังโจวยังเคยไปไม่กี่หน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโรงน้ำชา

คนสกุลเซียงไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ว่าคำพูดของอวี้ถังก็ดึงดูดความอยากรู้ของนาง จึงมองข้ามความขวยเขิน ถามอวี้หย่วนออกไปว่า “เป็นอย่างที่น้องสาวพูดเช่นนั้นหรือ?”

อวี้หย่วนอย่างน้อยก็เคยติดตามอวี้ป๋อมายังสถานที่เหล่านี้ เขารีบตอบว่า “โรงน้ำชาบางแห่งมีดนตรีขับร้อง แต่บางแห่งก็ไม่มี บางที่มีห้องส่วนตัวให้กับเหล่าสตรีโดยเฉพาะ แม้พูดได้ว่ามีไม่มาก แต่ข้าคิดว่าในเมื่อมาแล้ว พวกเราลองไปดูก็ไม่เสียหาย”

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตของอวี้ถังและคนสกุลเซียงที่จะได้เข้าไปในโรงน้ำชา

เพราะมีอวี้หย่วนและซย่าผิงกุ้ยติดตามไปด้วย พวกนางจึงร้อนใจอยากจะเข้าไปด้านในเสียเต็มประดา

เมื่อถึงท่าเรือซูโจว อวี้หย่วนก็มองหาโรงน้ำชาที่มีดนตรีขับร้อง พร้อมทั้งจองห้องส่วนตัว

ซย่าผิงกุ้ยมองเงินสามตำลึงที่อวี้หย่วนจ่ายออกไป ก็รู้สึกปวดร้าวตามร่างกายไปหมด

ซย่าเหลียนก็เช่นเดียวกัน

นางอดจะนินทาในใจไม่ได้ โชคดีที่สินเดิมของคุณหนูมีมาก ไม่เช่นนั้นจากนิสัยใจคอของท่านเขย กลัวว่าไม่กี่วันคงต้องหอบสมบัติมาขายกินเป็นแน่

สองคนเงยหน้าขึ้น ดวงตาสบประสานกันพอดี ทั้งยังมองเห็นความปวดใจและเสียดายในดวงตาของอีกฝ่าย

ซย่าเหลียนกับซย่าผิงกุ้ยชะงักกึก คิดว่าต่างฝ่ายก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบ พลันเกิดความรู้สึกดีๆ ต่ออีกฝ่าย

ความสนใจของทุกคนกระจุกอยู่ที่เสียงทอดถอนใจอย่างชื่นชมเมื่อเห็นโรงน้ำชาสามชั้นที่ทั้งหรูหราและมีเอกลักษณ์แห่งนี้ ไม่มีใครทันมองซย่าเหลียนกับซย่าผิงกุ้ย ยิ่งไม่มีคนเห็นท่าทางไม่เป็นธรรมชาติของพวกเขา

“โรงน้ำชานี้สามารถสร้างได้สูงตั้งสามชั้น ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยเจ้าค่ะ” ซวงเถากระซิบพูดกับอวี้ถัง สายตาตวัดมองไปทั่ว ไม่อาจกลบความอยากรู้อยากเห็นได้

อวี้ถังคลี่ยิ้ม คิดว่าเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน

รอให้คนในสกุลได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เมื่อเห็นโลกที่กว้างขึ้น ย่อมเข้าใจว่าเหนือตนมียอดคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เช่นนี้ย่อมถ่อมตนระวังกิริยา นับเป็นฐานในการสร้างวงศ์สกุล

ทุกคนเข้าไปที่ห้องส่วนตัวชั้นสอง รอจนอวี้หย่วนสั่งของว่างเสร็จแล้ว ฉาป๋อซื่อ[1]ที่ขับร้องเพลงตามรายการสั่งก็ล่าถอยไป ทุกคนถึงค่อยส่ายสายตาสำรวจไปรอบด้าน

ซวงเถาเอ่ยว่า “คุณหนู ท่านดูโคมนั่นสิเจ้าคะ ถึงกลับมีตั้งห้าชั้น ข้าเคยเห็นแต่ในวัด ไม่คิดว่าห้องส่วนตัวในโรงน้ำชาจะมีด้วย”

ซย่าเหยียนก็พูดขึ้นว่า “นายหญิง ท่านดูสิเจ้าคะ นั่งอยู่ตรงนี้ยังสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในโถงใหญ่ได้ ตอนที่ร้องเพลงก็เห็นได้ชัดเจน ไม่รู้ว่าพวกขับร้องในหลีหยวนจะเหมือนกับที่นี่หรือไม่”

เด็กในร้านที่ติดตามมาผลักหน้าต่างเปิดออกทันที เห็นผู้คนที่เนืองแน่นอยู่เต็มถนนก็เอ่ยกับอวี้หย่วนว่า “คุณชาย ท่านดูสิขอรับ ทางนั้นมีร้านค้าของเบ็ดเตล็ดเต็มไปหมด”

ด้านข้างของท่าเรือก็ต้องมีร้านค้าเบ็ดเตล็ดมากอยู่แล้วมิใช่รึ?

กิจการค้าขายทางทะเลนี้ ส่วนมากใช้ของแลกของ หนนี้แลกของสิ่งนี้มาได้ ครั้งต่อไปอาจแลกได้แค่สิ่งนั้นกลับคืนมา ขอเพียงเป็นสินค้าที่น่าสนใจ หากคิดว่ามันทำกำไรได้ พวกเขาก็จะขายให้ทันที

ซย่าผิงกุ้ยก็เบียดตัวไปดูเช่นกัน

ฉาป๋อซื่อส่งของว่างขึ้นมาให้ จากนั้นก็ดึงบัญชีชื่อเพลงออกมา ถามอวี้หย่วนอย่างกระตือรือร้นว่า “ท่านลองดูสิขอรับ นายหญิงกับคุณหนูชอบฟังเพลงใดก็สามารถเลือกได้ สองตำลึงหนึ่งเพลง หากเป็นบทร้องชื่อดัง ก็สี่ตำลึงเท่านั้นเจ้าค่ะ”

อวี้หย่วนคิดว่าค่อนข้างแพง ทว่า คนสกุลเซียงกับอวี้ถังไม่ได้ออกจากเรือนบ่อยๆ ต่อให้ราคาจะสูง แต่ก็ต้องให้พวกนางเที่ยวเล่นอย่างสนุก จะได้ไม่มานั่งเสียดายทีหลัง

เขาส่งบัญชีเพลงให้คนสกุลเซียง “เจ้าลองดูสิว่าชอบบทเพลงใด?”

คนสกุลเซียงแม้จะมีเงิน แต่ไม่คิดละลายทรัพย์ไปเช่นนี้ คิดว่าตนเองฟังเพลงตามที่อวี้ถังชอบก็พอแล้ว จึงส่งบัญชีเพลงต่อให้อวี้ถัง “เจ้าชอบเพลงไหนล่ะ? ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ เจ้าให้ข้าเลือก ข้าเองก็ไม่รู้ต้องเลือกอะไร”

ฉาป๋อซื่อได้ยินดังนั้น ก็พุ่งตัวเข้าไปแนะนะบทเพลงที่อยู่ในรายการให้พวกเขาฟังทันที

อวี้ถังฟังไปอย่างใจลอย สมองกำลังหมุนแล่นอย่างรวดเร็ว

ชาติก่อนในตอนนี้ สกุลเจียงเริ่มระดมทรัพย์เพื่อทำกิจการทางทะเลแล้ว พวกเขาย่อมหาวิธีกระพือข่าวนี้ออกไป เพื่อให้คนจำนวนมากรับรู้และเข้ามาเป็นหุ้นส่วน

ต้องหาโอกาสสอบถามกับฉาป๋อซื่อเสียแล้ว

อวี้ถังเลือกเพลง ‘ชวนอิงอิงไหว้พระจันทร์’ ซ้ำยังเป็นบทเพลงที่มีชื่อเสียงอีกด้วย

อวี้หย่วนควักเงินจ่ายไปสี่ตำลึง

ฉาป๋อซื่อผู้นั้นดูประหลาดใจมาก

เขาเห็นว่าอวี้หย่วนมีลักษณะเหมือนคุณชายน้อย คิดว่าเขาคงเป็นหัวหน้าครอบครัว คาดไม่ถึงว่าผู้ที่มือเติบและจ่ายเงินอย่างเบิกบานจะเป็นคุณหนูน้อยผู้หนึ่ง

เขามองนางอย่างพินิจ อวี้ถังไม่เพียงมีรูปโฉมที่งดงาม ทั้งยังเป็นคนเปิดเผย ท่ามกลางสกุลที่ร่ำรวยมั่งคั่งกลับวางท่าได้อย่างสง่าไม่สะทกสะท้าน หัวใจเขาเต้นเสียง ‘ตึกตัก’ เพิ่งรู้ว่าตนเองมองคนพลาดไป จึงรีบก้มหน้าต่ำ แล้วกล่าวขอบคุณคนสกุลเซียงกับอวี้ถัง ก่อนจะขอตัวออกไปเตรียมการ

อวี้หย่วนถอนหายใจยาวเหยียด ในใจก็คิดว่า สถานที่เช่นนี้ต่อไปเขาคงต้องมาให้น้อยหน่อย แค่ฟังเพลงก็จ่ายสองสามตำลึงแล้ว เขารับการเสพสุขเช่นนี้ไม่ค่อยไหว แต่เพราะคนสกุลเซียงกับอวี้ถังดูจะชอบอกชอบใจ ก็นับว่าไม่ได้จ่ายเงินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แล้ว

————————————————————-

[1]ฉาป๋อซื่อ เป็นชื่อที่ใช้เรียกคนขายใบชา

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset