อวี้หย่วนชะงักไป
อวี้เหวินมองสองแม่ลูกที่กำลังคล้องแขน พูดคุยอะไรกันบางอย่างด้วยความดีอกดีใจ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “พรุ่งนี้ตอนเช้า เจ้าเข้ามาพบข้าก็แล้วกัน”
อวี้หย่วนผงกศีรษะ วันถัดมาก็ไปหาอวี้เหวินที่เรือนโดยไม่ได้แตะข้าวเช้าสักคำ
อวี้เหวินนัดคุยกับอวี้หย่วนในห้องหนังสือ
หลังจากอวี้ถังรู้เรื่องนี้ก็ตามไปห้องหนังสือเช่นกัน
อวี้หย่วนเอ่ยอย่างจนใจ “นี่เจ้ากลัวข้าพูดไม่ชัดเจนอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ!” อวี้ถังเอ่ย “เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับข้าเช่นกัน ข้าอยากจะฟังด้วยเพียงเท่านั้น”
อวี้เหวินรู้สึกปวดหัว จึงเอ่ยกับอวี้หย่วน “เจ้าไม่ต้องสนใจนางหรอก นางจะฟังก็ปล่อยให้นางฟังไป แม้พวกเราจะไม่ให้นางฟัง แต่จากนิสัยนางแล้วก็คงจะแอบฟังอยู่ดี”
อวี้หย่วนหัวเราะลั่น
อวี้ถังใบหน้าขึ้นสี แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งอยู่ข้างอวี้หย่วน
อวี้เหวินส่ายศีรษะทั้งรอยยิ้ม เอ่ยกับอวี้หย่วน “เจ้าบอกว่าเจียงเฉาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เจ้าเคยเห็นเรือของเขาแล้วรึ? รู้ว่ายังมีใครที่ร่วมหุ้นกับเขาอีกหรือไม่? ทั้งหุ้นส่วนพวกนี้ทำอาชีพอะไร? เจ้าทราบเรื่องพวกนี้ทะลุปรุโปร่งแล้วหรือยัง?”
อวี้หย่วนไม่อาจตอบคำถามได้
ด้านอวี้ถังกลับโล่งใจ
คาดไม่ถึงว่าบิดาของนางก็มียามที่พึ่งพาได้เช่นกัน
แต่ความคิดนี้ก็วาบขึ้นมาในสมองเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะได้ยินบิดาของนางเอ่ยต่อ “ใช่ว่าข้าอยากจะห้ามอะไรพวกเจ้า อย่างไรเงินที่ได้จากการประมูลแผนที่ก็เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน หมดแล้วก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือ พวกเจ้าอย่าได้ตกหลุมพรางของผู้อื่น จะเป็นคนโง่ที่ปล่อยให้คนอื่นหลอกลวงไม่ได้เชียว”
อวี้ถังรู้สึกว่าเท้าลื่นขึ้นมากะทันหัน
ที่แท้บิดาของนางก็ยังคงเป็นบิดาที่…
อวี้หย่วนได้ฟังก็เอ่ยเสริมทันที “ไม่อย่างนั้น ข้าไปซูโจวอีกสักครั้ง สืบเรื่องพวกนั้นที่ท่านว่ามาอย่างละเอียด?”
อวี้เหวินครุ่นคิดเล็กน้อย “ช่างเถิด ข้าจะไปกับเจ้าแล้วกัน! พวกเจ้าอายุยังน้อย ประสบการณ์มีไม่มาก”
ความนัยของวาจานี้คือพวกเขาทำเรื่องไม่น่าเชื่อถือพอ
อวี้หย่วนได้ฟังก็ราวกับยกภูเขาออกจากอก
อวี้ถังกลับหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพ่อ พวกเราจะไปเมื่อใดกัน?”
นางเตรียมของฝากให้หม่าซิ่วเหนียงเช่นกัน เมื่อวานยังพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะกับมารดาแล้วว่าอีกเดี๋ยวจะเข้าไปหาหม่าซิ่วเหนียง
ใครก็คาดไม่ถึงว่าอวี้เหวินจะเอ่ย “ครั้งนี้ข้าจะไม่พาเจ้าไปด้วย เจ้าเป็นสตรี ออกไปข้างนอกไม่ค่อยงามนัก หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็ไปดูทางร้านค้า ช่วยเหลือลุงใหญ่เจ้าให้มากๆ หน่อยเถิด”
อวี้ถังยู่ปาก
อวี้เหวินเอ่ย “นี่ก็เป็นความต้องการของแม่เจ้าเช่นกัน นางกลัวว่ายิ่งเจ้าออกไปข้างนอกก็จะยิ่งคิดทะเยอทะยาน”
ภายหลังยามที่รับลูกเขยเข้าสกุลจะเลือกมาก มองไม่เห็นหัวใคร กลายเป็นหญิงเฒ่าที่แต่งไม่ออก
อวี้ถังลองขบคิด ชายหญิงมีธรรมเนียมที่เข้มงวด นางไม่เหมาะจะไปหยั่งเชิงเจียงเฉาจริงๆ ให้บิดานางเข้าไปก็เพียงพอแล้ว แต่ว่า จากคำพูดของอวี้หย่วน เจียงเฉาผู้นี้คงวาทศิลป์เป็นเลิศ จำต้องเตือนบิดาล่วงหน้า ไม่อาจทำให้บิดาเป็นเหมือนญาติผู้พี่ได้ ถูกเขาล่อลวงจนจับทิศทางไม่ถูก
“ท่านพ่อ” นางเอ่ยเตือนบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านไปซูโจวกับท่านพี่ก็ดี พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ข้าไม่เคยพบเจียงเฉา แต่ได้ยินจากท่านพี่ว่า เขามีความสามารถพอตัว ทั้งท่านพี่เพิ่งจะพบกับเขาครั้งเดียว ก็ตัดสินใจร่วมหุ้นแล้ว ว่ากันตามหลัก เมืองซูโจวมีสกุลมั่งคั่งมากมาย ไฉนเจียงเฉายังต้องตระเวนเสาะหาผู้ร่วมหุ้นไปทุกหนทุกแห่ง? เรื่องนี้ควรจะเป็นประโยชน์กับเขามากกว่า? เหตุใดกลับปล่อยให้พวกเราที่เป็นคนต่างถิ่นมาแบ่งผลประโยชน์เล่า?”
อวี้หย่วนและอวี้เหวินสติล่องลอยอยู่พักใหญ่
อวี้ถังจึงเอ่ยต่อ “ยังดีที่หนิงปัวอยู่ไม่ไกลจากพวกเรามาก หากมีความจำเป็น ท่านก็ไปหนิงปัวได้ ดูว่าสกุลหวังเป็นสกุลแบบไหนค่อยกลับมาก็ไม่นับว่าสาย แม้จะกล่าวว่าเงินพวกนั้นได้มาจากการประมูล เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน แต่อย่างไรก็เป็นเงินก้อนหนึ่ง ทั้งนายท่านสามยังให้ความช่วยเหลือ จะทำให้สกุลรุ่งเรืองเฟื่องฟูหรือสูญค่าไปมหาศาล ก็ล้วนขึ้นอยู่กับพวกเราว่าใช้อย่างไร ท่านพ่ออย่าได้คิดตื้นเขินเกินไป นึกถึงตอนแรก หากพวกเรามีเงินก้อนนี้ การรักษาอาการป่วยของท่านแม่ก็คงไม่ยากลำบากขนาดนั้น”
นางทำได้เพียงใช้เรื่องนี้มาโน้มน้าวบิดา
ชาตินี้เพราะการเปลี่ยนแปลงของนาง เรื่องในสกุลส่วนมากจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงไปหมด สิ่งที่ทำให้บิดารู้สึกลำบากใจก็มีเพียงอาการป่วยของมารดาเท่านั้น
อวี้เหวินพยักหน้าระรัว “ข้าเข้าใจแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวกับลุงใหญ่เจ้าสักหน่อย ช่วงนี้เจ้าอยู่ที่เรือน ก็ดูแลปรนนิบัติป้าสะใภ้ใหญ่แทนพี่ชายเจ้าดีๆ อย่าให้ข้าเป็นกังวลแล้วกัน”
อวี้ถังกระตุกรอยยิ้ม นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ข้าอาจจะกลับไปที่เรือนเก่าเสียหน่อยเจ้าค่ะ ดูว่าต้นซาจี๋พวกนั้นเติบโตเป็นอย่างไรบ้าง”
อวี้เหวินได้ฟังก็ชื่นใจไม่น้อย “ยังนับว่าเจ้ามีความตั้งใจ หากเจ้าทำอะไรก็เลิกล้มกลางคัน ภายหลังข้าย่อมจะไม่ช่วยเจ้าอีก”
อวี้ถังตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้อวี้เหวินตระเวนสืบข่าวเรื่องปลูกต้นไม้ให้นางไปทั่วสารทิศ ก็เผยยิ้มละล่ำละลัก รินชาส่งให้อวี้เหวิน เอ่ยอย่างอ่อนหวาน “ทราบแล้วเจ้าค่ะ! ท่านพ่อวางใจ ข้าจะเชื่อฟัง ปลูกต้นไม้ให้โตเป็นอย่างดีเลยเจ้าค่ะ”
อวี้เหวินขานรับ ‘อืม’ อย่างพอใจ กำชับอวี้ถังอีกไม่กี่คำ ก่อนจะไปหาอวี้ป๋อพร้อมอวี้หย่วน
—
อวี้ถังนำเสื้อผ้าเด็ก ทั้งของเล่นพวกกลองไม้ที่เตรียมไว้ให้หม่าซิ่วเหนียงมาห่อดีๆ ก่อนจะเดินทางไปหานาง
หม่าซิ่วเหนียงเหลือเวลาอีกเดือนกว่าก็จะให้กำเนิดแล้ว ท้องใหญ่โต เท้าก็บวมจนสวมรองเท้าไม่ได้ ทำเอาอวี้ถังตกใจยกใหญ่
นางรีบเข้าไปประคองหม่าซิ่วเหนียงที่มาต้อนรับตน เอ็ดว่า “เจ้าก็จริงๆ เลย สภาพเช่นนี้ยังจะมาต้อนรับข้าอีก? แค่สี่เชวี่ยก็เพียงพอแล้ว”
สาวใช้ของหม่าซิ่วเหนียงที่ชื่อสี่เชวี่ยก็เอ่ยเช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะ! คุณหนูอวี้ ท่านก็ช่วยข้ากล่อมนายหญิงน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ! หากนางมีเรื่องอะไรให้กำชับข้าก็พอแล้ว อย่าได้ขยับกายส่งเดชเลยเจ้าค่ะ”
หม่าซิ่วเหนียงอ้วนท้วมขึ้นไม่น้อย ใบหน้ากลมราวกับจานเงิน นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงอย่างที่พวกเจ้าว่าเสียหน่อย แต่หากครั้งนี้ข้าสามารถคลอดได้อย่างราบรื่นก็ต้องขอบคุณอาถังแล้ว”
“ข้ารึ?” อวี้ถังเบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ
หม่าซิ่วเหนียงดึงอวี้ถังไปในห้อง พลางเอ่ย “ไม่ใช่ว่าหมอหลวงหยางมาตรวจสุขภาพมารดาเจ้าทุกเดือนหรอกรึ? ไม่กี่วันก่อนยามที่ข้ากับไปหาเจ้าที่เรือน ได้ยินว่าเจ้าไปเมืองซูโจว กลับพบเข้ากับหมอหลวงหยางพอดี เขาเห็นข้า จึงถือโอกาสจับชีพจรให้ กล่าวว่าเด็กแข็งแรงดี แต่ให้ข้ากินมากๆ ขยับเขยื้อนกายบ่อยๆ มิเช่นนั้นอาจจะคลอดยาก นี่ไม่ใช่ว่าข้าฟังหมอหลวงหยางจึงหมั่นขยับเคลื่อนไหวหรอกรึ พวกเจ้าจะห้ามข้าไม่ได้เชียว”
สี่เชวี่ยยิ้มขื่น “ให้ท่านหมั่นขยับเขยื้อน ก็ไมได้หมายความว่าให้ท่านทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ได้ทุกอย่างนะเจ้าคะ! บอกท่าน ท่านก็ไม่ฟัง”
หม่าซิ่วเหนียงหัวเราะ ก่อนจะนั่งลงบนตั่งไม้ข้างอวี้ถัง ไม่รอให้สี่เชวี่ยยกชาขึ้นโต๊ะ นางก็เอ่ยถามอวี้ถังด้วยรอยยิ้มก่อน “ซูโจวสนุกหรือไม่?”
“สนุก!” อวี้ถังเล่าเรื่องที่ประสบพบเจอในซูโจวให้หม่าซิ่วเหนียงฟังอย่างออกรส ช่วงเวลานั้นก็ถือโอกาสนำของฝากเล็กน้อยออกมาให้หม่าซิ่วเหนียง “ข้าเห็นว่าน่าสนใจก็ซื้อมา ก็ไม่รู้ว่าซื้อมาถูกหรือไม่…ข้าและพี่สะใภ้ล้วนไม่เคยซื้อพวกของเล่นเด็กมาก่อน แต่เถ้าแก่เจ้าของร้านบอกว่าควรซื้อประมาณนี้”
หม่าซิ่วเหนียงขอบคุณ ก่อนจะส่งให้สี่เชวี่ย เอ่ยอย่างอิจฉา “พี่สะใภ้คนนี้ของเจ้าเลือกได้ดีไม่น้อย ภายหลังหากน้องสะใภ้ข้าดีเหมือนพี่สะใภ้เจ้าก็คงดีไม่น้อยเช่นกัน”
อวี้ถังหัวเราะ นึกถึงเรื่องในอดีตที่หม่าซิ่วเหนียงให้อวี้ถังเลือกน้องชายนางมาเป็นเขย จึงเอ่ยหยอกเย้า “ไม่อย่างนั้น ตอนนี้เจ้าก็หาคู่ให้น้องชายเจ้าเสียเลย รีบแต่งเข้ามา ก็จะได้อบรมสั่งสอนดีๆ ย่อมสามารถเป็นเหมือนพี่ชายพี่สะใภ้และข้า ต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
หม่าซิ่วเหนียงก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน
ทั้งสองคนคุยเล่นเรื่องนี้อยู่พักใหญ่
อวี้ถังอยู่ที่สกุลจางจนฟ้ามืดจึงค่อยกลับเรือน เมื่อกลับไปก็ได้ยินว่าบิดาและญาติผู้พี่จะนั่งเรือไปซูโจวพรุ่งนี้เช้า วันรุ่งขึ้นจึงไปส่งอวี้เหวินและอวี้หย่วน หลังจากนั้นก็เชื่อฟังคำสั่งของอวี้เหวิน ไปตรวจดูร้านค้าอยู่สองวัน ยามนี้จึงค่อยบอกกล่าวกับผู้ใหญ่ ก่อนจะพาอาเสาและซวงเถากลับไปเรือนเก่าด้วยกัน
ไม่รู้ว่าเพราะปู่ห้าปล่อยวางเรื่องลูกหลานไม่ได้หรือนับวันอากาศยิ่งร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ ปู่ห้าดูแก่ชราลงไม่น้อย ได้ยินว่าอวี้ถังจะไปดูพื้นที่แถวภูเขาก็ไม่คิดจะไปด้วย กลับเรียกเด็กของสกุลอวี้คนหนึ่งมานำทาง ทั้งเรียกภรรยาของลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่างๆ มาช่วยทำอาหารต้อนรับอวี้ถัง
อวี้ถังนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนปู่ห้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะขึ้นเขาไป
ผู้ที่เชิญมาช่วยดูแลต้นไม้ก็พักอยู่บนเขา ได้รับจดหมายว่าอวี้ถังจะเข้ามา จึงมาคอยอยู่ที่ตีนเขาตั้งนานแล้ว
อวี้ถังและผู้ดูแลขึ้นเขาไปพร้อมกัน
ต้นไม้ในพื้นที่ภูเขานี้ไม่ค่อยเจริญเติบโตได้ดีเท่าใดจริงๆ ฤดูกาลนี้ บนเขาของคนอื่นดูเขียวชอุ่ม ต้นไม้ซ้อนกันหนาทึบ ดูร่มรื่นเย็นสบาย แม้ว่าบนเขาของพวกเขาจะเขียวขจี แต่กลับมีเพียงไม้ดอกและต้นไม้เล็กๆ สลับซ้อนกันไป หากคิดจะหลบแสงแดดยังต้องหาร่มไม้ ดีที่ต้นซาจี๋พวกนั้นปลูกไว้ที่ตีนเขา เดินขึ้นไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว นางจึงไม่ถึงกับต้องตากแดดไปตลอดทาง
คาดไม่ถึงว่าต้นซาจี๋ที่ย้ายมาจากสวนดอกไม้หลังจวนสกุลเผยจะขึ้นเป็นพุ่มเขียวชอุ่ม แม้ว่าจะไม่ออกดอก แต่ก็แตกกิ่งก้านใหม่
ผู้ดูแลต้นไม้ฉวยโอกาสกล่าวชมตัวเอง “ทุกวันข้าล้วนดูแลรดน้ำต้นไม้พวกนี้ เช้าตรู่ตื่นมาดูหนึ่งครั้ง ยามเย็นก่อนจะนอนก็ดูอีกครั้ง ทะนุถนอมใส่ใจยิ่งกว่าเลี้ยงเด็กในบ้านเสียอีก ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยขอรับ”
อวี้ถังเป็นคนใจกว้าง ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือโกหก แต่เรื่องที่ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีกลับเป็นความจริง
นางให้เงินเป็นรางวัลกับเขาเล็กน้อย
ผู้ดูแลคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง เอ่ยขอบคุณซ้ำๆ ก่อนกล่าว “คุณหนู ยามที่ถึงฤดูใบไม้ร่วงอยากให้ข้าช่วยตัดฟืนตากแห้งหรือไม่ขอรับ?”
อวี้ถังมาไม่บ่อยนัก เขากลัวว่าครั้งถัดไปที่อวี้ถังมาจะล่วงเลยเวลาตัดฟืนแล้ว…การขายฟืนในฤดูหนาว ต้องฉวยโอกาสในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศตอนกลางวันร้อนจัด นำฟืนมาตากแห้งจึงจะสามารถขายได้ราคาดี
อวี้ถังคิดว่าต้นซาจี๋ในปีนี้คงไม่มีหวังแล้ว คนผู้นี้ก็นับว่ายินดีทำการทำงาน สามารถตัดฟืนขาย อย่างไรก็ถือว่าเป็นรายได้
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว” นางเอ่ยอย่างเกรงใจ
ผู้ดูแลต้นไม้รู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งคิดว่านางเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง จึงเอ่ยประจบประแจง “ตรงนั้นก็ปลูกถั่วลิสงจำนวนหนึ่งตามที่ท่านกำชับไว้เช่นกัน จะไปดูเสียหน่อยหรือไม่ขอรับ?”
ในเมื่อมาแล้ว ย่อมต้องเข้าไปดู
ทั้งสองคนเดินไปดูถั่วลิสงอีกด้านหนึ่งของภูเขา
ผู้ดูแลต้นไม้เดินอยู่ข้างหน้า ยังคงเอาแต่บ่นพึมพำ “รออีกไม่กี่วันก็คงได้กินถั่วลิสงแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะบอกกล่าวกับปู่ห้า ให้เขาหาคนส่งไปให้ท่านในเมืองหลินอัน จะได้กินอย่างสดใหม่…”
อวี้ถังเอาแต่ระวังฝีเท้า พยักหน้าส่งเดชไป พลันหางตากลับเหลือบเห็นคนเดินผ่านไปจากทางเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามของป่า
นางหยุดฝีเท้าลง
ทำให้ซวงเถาที่เดินตามหลังเกือบเดินชนนาง
“เกิดอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู?” ซวงเถาเอ่ย
อวี้ถังชี้ไปที่ชายหนุ่มตรงข้ามที่มีท่าทีรีบเร่ง “เจ้าลองมองดีๆ ชายผู้นั้นคือคนที่พวกเราพบที่ร้านขายเครื่องประทินโฉมในซูโจวใช่หรือไม่?”
ซวงเถาเขย่งเท้าเพ่งมองอย่างละเอียด “คล้ายอยู่เจ้าค่ะ แต่มองจากตรงนี้ออกจะไกลอยู่บ้าง ยามที่อยู่ร้านค้าก็ไม่ได้สนใจ ไม่รู้ว่าใช่หรือ…”
อวี้ถังกลับเห็นว่าคล้ายอย่างยิ่ง
นางออกคำสั่งกับอาเสา “เจ้าตามไปดู สืบว่าคนผู้นั้นเป็นใคร?”