ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 137 รู้เรื่อง

สองคนเมื่อได้หารือกันก็เลิกร้อนใจ กลับยกเรื่องของนายท่านเจียงมาคุยต่อ

นายท่านอู๋เอ่ยว่า “นายท่านเจียงอาจจะมีประสบการณ์น้อยไปหน่อย รู้แต่ว่าเถ้าแก่หวังคิดจะแยกตัวออกมาตั้งร้านเอง แต่กลับไม่ได้ระวังลูกชายสองคนของนายจ้างเก่า นี่นับว่าล้มหนึ่งทีฉลาดขึ้นหนึ่งครั้ง ยังดีที่นายท่านเจียงอายุยังน้อย ต่อไปมีโอกาสอีกมาก สำหรับเขาอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป”

อวี้เหวินพยักหน้าเห็นด้วย “สกุลเจียงมีบุตรชายคนเดียวมารดาเป็นม่าย ชีวิตย่อมมิใช่สุขสบาย จะว่าไปพวกเรากับเขาก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ข้ายังคิดอยู่ว่าตอนวันไหว้พระจันทร์ ต้องส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปให้หน่อยดีหรือไม่”

“ความคิดนี้ดียิ่งนัก!” นายท่านอู๋หลังชื่นชมแล้วก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ใครๆ ต่างก็ชมว่าสหายอวี้ซื่อสัตย์จริงใจ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ใส่ใจ ตอนนี้ดูท่าคงเป็นข้าที่มีตาหามีแววไม่ มองข้ามสหายอวี้ไปเสียแล้ว!”

“สหายอู๋เอาคำพูดนี้มาจากไหน!” อวี้เหวินเอ่ยพลางหน้าแดงเรื่อ รอจนนายท่านอู๋กลับไปแล้ว เขาก็สั่งให้อาเสาเตรียมเงินสิบตำลึงใส่ซอง ชุดสี่สิ่งสำคัญในห้องหนังสือหนึ่งชุด ผ้าหังโจวสีม่วงออกใหม่สองพับเพื่อส่งไปให้นายท่านอู๋ นำไปรวมกับของขวัญของเขา จากนั้นก็ให้พ่อบ้านใหญ่นำไปส่งที่เรือนสกุลเจียงแห่งซูโจว

ตั้งแต่อวี้ถังได้ยินว่ากิจการของเจียงเฉามีการพลิกผันก็คล้ายจะโง่เขลาไปทันที

เจียงเฉาจะถูกหลอกได้อย่างไร?

ชาติก่อน เขาขึ้นชื่อว่าปราดเปรื่องอย่างกับอะไรดี

หรือว่านี่เป็นความทุกข์ยากที่ได้รับก่อนหน้าการประสบความสำเร็จ?

ในใจของอวี้ถังไม่อาจสงบลงได้ง่ายๆ

เพราะว่าการเกิดใหม่ของนาง ทำให้ชาตินี้กับชาติก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างเช่นการตายของเว่ยเสี่ยวซาน…เขาต้องพลอยรับกรรมไปด้วยก็เพราะนาง นายท่านเจียงแม้ชาติก่อนจะเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเจียงเฉาในชาตินี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่นางกลับชาติมาเกิดใหม่?

อวี้ถังไม่อาจวางใจให้เป็นสุขได้ นางลอบดีใจที่เจียงเฉาเป็นคนเข้มแข็ง มิใช่พวกเจอปัญหาแล้วสะบัดก้นหนี มิเช่นนั้นนางจะมีหน้าไปพูดกับบิดาและญาติผู้พี่ได้อย่างไร

เห็นได้ชัดว่าเรื่องบางอย่างไม่อาจอาศัยแค่ประสบการณ์จากชาติก่อนได้

อวี้ถังถอนหายใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดากลับไม่แสดงอารมณ์ให้เห็นแม้เพียงเศษเสี้ยว เอาแต่คอยเฝ้าอาการของนางอย่างใกล้ชิดด้วยความตั้งอกตั้งใจ พวกป้าเฉินกลายเป็นคนหวาดผวา กลัวแต่ว่าคนสกุลเฉินจะเป็นเหมือนเมื่อก่อน ในสิบวันล้มหมอนนอนเสื่อไปแล้วแปดวัน คนในเรือนแค่พูดจาเสียงดังก็กลัวจะทำให้คนสกุลเฉินตกใจแล้ว ต่างห้อมล้อมอยู่ข้างๆ เพื่อดูแลนาง ไม่มีใครสนใจจะไปทำขนมไหว้พระจันทร์ต่อ

กระทั่งเด็กในร้านขายปูนำปูที่สั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้มาส่ง อวี้ถังกับอวี้เหวินถึงกับสะดุ้งตกใจเพราะเพิ่งนึกออกว่าพวกเขาลืมเรื่องที่จะส่งของขวัญวันไหว้พระจันทร์ไปให้สกุลเผยเสียสนิท

“ดูความจำข้าสิ!” อวี้เหวินยกมือตบศีรษะตนเอง แล้วถามอวี้ถังว่า “เจ้าทำขนมไหว้พระจันทร์เป็นหรือไม่? ถ้าไม่ไหวข้าจะรีบให้คนไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์แบบใหม่ที่เมืองหังโจวกลับมา”

ของขวัญที่ส่งให้สกุลเผยแน่นอนว่าจะมีเพียงขนมไหว้พระจันทร์อย่างเดียวไม่ได้ แต่อย่างไรก็ไม่อาจขาดขนมไหว้พระจันทร์โดยเด็ดขาด

หลายวันก่อนคนสกุลเฉินถูกทำให้ตกใจ อวี้เหวินกลัวจับใจว่านางจะเป็นอะไรขึ้นมา วันๆ เอาแต่จับตาคอยดูให้นางพักผ่อน มีหรือจะยอมให้นางลงมือทำขนมไหว้พระจันทร์ต่ออีก?

อวี้ถังยิ้มแหย “ข้าทำของพวกนี้เป็นที่ไหนล่ะเจ้าคะ?”

อวี้เหวินจึงเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าจะไปถามดูว่าสองวันนี้มีใครเดินทางไปเมืองหังโจวหรือไม่ ขอให้เขาช่วยซื้อขนมไหว้พระจันทร์ของร้านอู่ฟางไจกลับมาสักหลายกล่อง”

อวี้ถังส่งเสียงเห็นด้วย จากนั้นก็ไปส่งบิดาที่หน้าประตู

เพียงแต่ไม่รอให้พวกนางนำของขวัญไปส่งที่จวนสกุลเผย เผยเยี่ยนก็มาเยือนเสียก่อน

ทว่า เผยเยี่ยนยังคงไม่ผ่านเข้าประตูมาเช่นเดิม เขาให้เกี้ยวไปจอดอยู่ที่ประตูด้านหลังในตรอกน้อย แล้วส่งอาหมิงให้มาหาอวี้ถังเป็นการส่วนตัว “นายท่านของข้ารออยู่ด้านนอกขอรับ มีสองสามคำต้องการจะสอบถามคุณหนูอวี้”

บังเอิญว่าหลายวันนี้อวี้เหวินไม่ค่อยอยู่เรือนเพราะเทียวไปเทียวมากับเรือนสกุลอู๋ คนสกุลเฉินก็ดื่มยานอนหลับไปแล้ว อวี้ถังใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปพบเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนนั่งอยู่ด้านในเกี้ยว พอเห็นอวี้ถังถึงค่อยก้าวลงมา

พอเขาลงจากเกี้ยว ก็สำรวจตรวจตราอวี้ถังอย่างตั้งใจ

อวี้ถังอยู่ในชุดเสื้อคลุมหังโจวสีเขียวทะเลสาบตัวใหม่เอี่ยม ผมดำขลับมวยทรงก้นหอยคู่เป็นระเบียบดี ผมสองฝั่งเสียบด้วยปิ่นดอกมะลิ มองแล้วเรียบง่ายไม่หรูหรา แต่เพราะดวงหน้าผาดผ่องหมดจรด ทำให้ทั่วร่างดูสะอาดเรียบร้อย สดใสเป็นธรรมชาติเฉกยอดใบอ่อนที่เพิ่งแทงยอดใหม่

เขาลอบพยักหน้าในใจ รอให้อวี้ถังย่อกายคารวะเสร็จถึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “หลายวันนี้เจ้าอยู่แต่ในเรือนรึ?”

อวี้ถังเป็นนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้

เผยเยี่ยนคิดจะทำอะไร?

เหตุใดเขาเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องธรรมดาทั่วไปกับนางแบบนี้?

การเปิดฉากเช่นนี้ ไม่รู้ว่าภายหลังจะมีอะไรตามมาอีก?

จู่ๆ นางก็รู้สึกกระสับกระส่าย ถึงขนาดลืมตอบคำถาม

เผยเยี่ยนมองเห็นความกังวลของนาง อดจะรู้สึกมึนงงไม่ได้ว่าเหตุใดนางต้องวิตกด้วย เขามองอวี้ถังอย่างใคร่รู้ทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่ออีกว่า “เรื่องที่สกุลหลี่ต้องการขายที่เจ้ารู้แล้วหรือไม่?”

อวี้ถังผงกศีรษะ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ!”

นางไม่เพียงรู้เรื่อง ทั้งยังเค้นสมองแล้วด้วยว่าจะช่วยซ้ำเติมคนสกุลหลี่อย่างไรดี!

กลายเป็นว่าเกิดเรื่องกับเจียงเฉาทางนั้นเสียก่อน นางจึงไม่มีกะจิตกะใจไปยุ่งเรื่องของสกุลหลี่แล้ว

พอเผยเยี่ยนพูดขึ้นมา นางก็อดจะรู้สึกเสียใจไม่ได้ “เสียดายที่บ้านข้าเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นคงเตรียมเล่นเรื่องนี้ให้ใหญ่โตจนคนรู้ทั่วทั้งบางแล้ว ให้พวกเขาไม่อาจเดินเงยหน้าในเมืองหลินอันได้อีก!”

ถึงขั้นขายทอดสมบัติของบรรพบุรุษ เห็นทีว่าสกุลหลี่คงขาดเงินไม่น้อยเลย

ต่อให้สกุลนางไม่ซื้อ แต่บีบสกุลหลี่ให้ขายที่นาแก่สกุลเผยก็ได้นี่

สกุลหลี่จะได้เลิกคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าผู้อื่นเสียที เอาแต่คอยก่อคลื่นใต้น้ำลับหลังสกุลเผย คิดจะขึ้นไปยืนแทนที่สกุลเผยเสียให้ได้

เผยเยี่ยนจ้องอวี้ถังอย่างไม่ละสายตา คล้ายว่าหน้านางมีดอกไม้งอกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาอวี้ถังกระอักกระอ่วนอยู่กลายๆ นางยกมือเช็ดข้างแก้มอย่างจนใจ แล้วถามออกไปอย่างระมัดระวังว่า “นายท่านสาม บนหน้าข้ามีอะไรสกปรกติดอยู่อย่างนั้นหรือ?”

“ไม่มีหรอก!” เขาตอบ แต่ก็ไม่วายเหลือบมองอวี้ถังอีกทีหนึ่ง

ดวงหน้าของนางไม่เพียงไร้สิ่งสกปรกติดอยู่ มันทั้งผุดผ่องดั่งไข่ปอก ในความขาวผ่องมีสีแดงระเรื่อ มองแล้วทำให้คนชื่นชอบเป็นที่สุด

แล้วเขาจะจ้องหน้านางเพื่ออะไร?

อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างสับสน

เผยเยี่ยนเห็นก็เข้าใจทันที เขาเลิกคิ้วแล้วพูดกับอวี้ถังว่า “เจ้าอยากให้สกุลหลี่เจอความหายนะมิใช่รึ? บัดนี้โชคร้ายมาเยือนสกุลหลี่แล้ว เจ้ากลับไร้ความเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง?”

อวี้ถังพลันขุ่นเคืองขึ้นมา

ที่แท้ภาพลักษณ์ของนางในใจเผยเยี่ยนเป็นแบบนี้เองหรอกรึ?

อวี้ถังถลึงตาใส่เผยเยี่ยนทีหนึ่ง

เผยเยี่ยนไม่เก็บเป็นอารมณ์ คิดว่าอวี้ถังแค่ต้องการรักษาหน้าตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น ลองนึกๆ ดู เขารู้สึกว่าท่าทีที่กระตือรือร้นเปี่ยมพลังของอวี้ถังตอนที่เล่าเรื่องซุบซิบของสกุลหลี่ให้เขาฟัง และอาการโมโหเดือดดาลนั่น ดูแล้วเจริญตาไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาอดจะเอ่ยอย่างยิ้มๆ ไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าไม่อยากรู้ เช่นนั้นข้าไปล่ะ”

จะไปก็ไปสิ พูดราวกับว่าหากนางไม่ประจบเขาไว้จะไม่มีทางรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับสกุลหลี่อย่างนั้นแหละ!

อวี้ถังค่อนแคะในใจ

คิดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะจากไปตามที่พูดจริงๆ

เขาเลิกผ้าม่านเกี้ยวขึ้นเตรียมจะมุดตัวเข้าไป

อวี้ถังมองดูด้วยความโง่งม

หรือที่เขามาก็เพราะต้องการพูดแค่นี้?

อวี้ถังก้าวขาตามขึ้นไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วส่งเสียงเรียกเขาว่า “นี่” ทีหนึ่ง

เผยเยี่ยนที่หันหลังให้อวี้ถังอยู่นั้น กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากของตนกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เมื่อปรับอารมณ์บนสีหน้าเรียบร้อยแล้วจึงค่อยหมุนกายกลับมา จดจ้องอวี้ถังอย่างไม่ส่งเสียงสักคำ

สมองของอวี้ถังเพิ่งจะได้สติ

เผยเยี่ยนกล้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องของสกุลหลี่มีเพียงเขาที่รู้จริงๆ อย่างน้อยในเมืองหลินอันแห่งนี้ ก็มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

อวี้ถังคิดว่าการไปงัดข้อกับเผยเยี่ยนเช่นนี้เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างที่สุด บวกกับนางเคยได้บทเรียนเกี่ยวกับความยโสของเผยเยี่ยนมาก่อนแล้ว จึงไม่พูดอ้อมค้อมอีก “นายท่านสาม เกิดอะไรขึ้นกับสกุลหลี่หรือเจ้าคะ? เหตุใดสกุลเขาต้องคิดขายที่ด้วย?”

นางมิใช่คนงอแงไร้เหตุผล ในเมื่อต้องขอร้องเผยเยี่ยน ก็ต้องขอร้องอย่างจริงจังและจริงใจ วางท่าทีนอบน้อมเป็นที่สุด

เผยเยี่ยนรู้สึกว่า ที่ตนยินดีจะพูดคุยกับคุณหนูอวี้ สาเหตุหลักๆ อาจเพราะคุณหนูอวี้เป็นคนอ่านสถานการณ์ออก นางไม่เคยวางมาดต่อหน้าเขา เขาจึงไม่คิดแกล้งแหย่อวี้ถังต่อ “หลังจากใต้เท้าหลี่ได้เลื่อนเป็นทงเจิ้งฝ่ายซ้ายในสำนักทงเจิ้งแล้ว เขาต้องร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงของพวกขุนนางต่างๆ มากกว่าเก่า สกุลเผิงไม่พอใจสกุลหลินด้วยเรื่องแผนที่ จึงใช้การค้าขายกดข่มพวกเขาไว้ เวลานี้จึงไม่เงินมากพอจะสนับสนุนสกุลหลี่ ปีแล้วที่เจ้าก่อเรื่องก่อราวไว้ ยังทำคนเร่ร่อนที่สกุลหลี่เลี้ยงเอาไว้กระเด็นหายไปหมด สกุลหลี่ไม่มีเงินทองมากพอจะขนไปเมืองหลวง จะขายสมบัติชิ้นอื่นก็ได้เงินไม่มากเท่านี้ ทั้งจะยิ่งทำให้สกุลหลี่สายหลักกับเพื่อนบ้านเกิดสงสัย ถึงได้แอบขายนาข้าวปี้จิงชั้นดีห้าสิบหมู่อย่างเงียบเชียบ”

หรือพูดอีกอย่างก็คือ หลังจากสกุลหลี่ทะเลาะกับสกุลกู้แล้ว ก็ไปแตกหักกับสกุลเผิงต่อ

อวี้ถังกระดี๊กระด๊าเริงใจ ดวงตาพราวระยับกว่าเวลาปกติอีกหลายส่วน

เผยเยี่ยนลอบหัวเราะคนเดียว

เขารู้อยู่แล้ว หากคุณหนูอวี้รู้เรื่องเข้าต้องสำราญใจจนออกนอกหน้าแน่

“ทว่า อย่างมากสกุลหลี่ก็คงขายที่แค่ห้าสิบหมู่เท่านั้น” เผยเยี่ยนเอ่ยเตือนสติอวี้ถัง “รอกระทั่งใต้เท้าหลี่ปักหลักที่เมืองหลวงได้แล้ว ย่อมมีคนมากมายหอบเงินไปกองหน้าประตูเขา สกุลหลี่ก็จะฟื้นคืนสภาวะปกติได้”

เผยเยี่ยนพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

หรืออยากให้นางฉวยโอกาสลงมือตอนนี้เลย?

แล้วนางควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนล่ะ?

อวี้ถังไม่มีแผนการในใจเลยสักนิด

เผยเยี่ยนแค่เตือนสตินางเท่านั้น ส่วนอวี้ถังจะทำเช่นไร นั่นมิใช่กงการอะไรของเขาแล้ว

เขาถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินว่าท่านเสิ่นช่วยพวกเจ้าหาต้นอ่อนซาจี๋มาจนได้ ล้วนปลูกรอดแล้วหรือไม่?”

อวี้ถังรีบตอบกลับ “ปลูกรอดแล้วเจ้าค่ะ คนสวนที่เชิญมาปลูกต้นไม้ฝีมือไม่เลว คนก็ซื่อสัตย์ด้วย”

เผยเยี่ยนพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “แล้วเกิดเรื่องอะไรในสกุลเจ้าล่ะ?”

ในเมื่อปัญหาไม่ได้มาจากการปลูกต้นไม้ แล้วยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณหนูอวี้ถึงขั้นยอมพลาดความสนุกของสกุลหลี่ไปได้?

อวี้ถังกำลังใคร่ครวญว่าจะบอกเรื่องนี้กับเผยเยี่ยนดีหรือไม่…ถ้าบอก ก็กลัวเผยเยี่ยนจะยื่นมือช่วยเหลือ เช่นนั้นบุญคุณที่สกุลเผยมีต่อพวกนางคงชดใช้ไม่หมดไม่สิ้น แต่ถ้าไม่บอก อย่างไรกระดาษก็ห่อไฟได้ไม่มิด กลัวว่าเผยเยี่ยนจะรู้จากปากคนอื่น คิดว่าตนเองถูกละเลยมองข้าม แล้วจะเกิดความไม่พอใจ คิดว่าอวี้ถังไม่รู้จักดีชั่วอีก

ความคิดเหล่านี้ไหลผ่านสมองนางไม่หยุด เพราะความละล้าละลังของนาง บัดนี้ดวงตาของเผยเยี่ยนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขุ่นแล้ว

ช่างเถอะ บอกกับเผยเยี่ยนไปจะดีกว่า นางยอมติดหนี้น้ำใจเขา แต่นางไม่ต้องการให้เขาโกรธเคือง

เวลาที่เผยเยี่ยนโกรธ ใช่ว่าจะง้อง่ายๆ ด้วย

อวี้ถังรีบเอ่ยปากทันที “เป็นท่านพ่อข้า…”

นางเล่าเรื่องที่ลงหุ้นการค้าทางทะเลกับเจียงเฉาให้เผยเยี่ยนฟังอย่างละเอียดยิบ

เผยเยี่ยนมองอวี้ถังอย่างตื่นตะลึง เป็นนานที่ไม่ส่งเสียงพูดสักคำ

เหตุใดคุณหนูอวี้จึงคล้ายกับประทัดเช่นนี้ เขาไม่ทันใส่ใจนางครู่เดียวก็ไม่รู้ว่านางจะระเบิดเมื่อไรแล้ว

ก่อนหน้านี้ที่นางไม่ยอมใช้แผนที่ร่วมหุ้นกับสกุลใหญ่อื่นๆ เขายังคิดว่าเพราะนางรู้ดีว่าการทำกิจการทางทะเลมิใช่เรื่องง่ายๆ จึงรู้จักหลบลี้หนีห่าง ใครจะคิดว่าเรื่องราวเช่นนี้จะมากองอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว

คราวนี้จะทำอย่างไร เงินทั้งหมดก็มีแค่สองหมื่นตำลึงแล้ว มือยังไม่ทันกุมให้ร้อน พริบตาเดียวก็หายวับไปหกพันตำลึง ผิดแล้ว ยังมีส่วนของนายท่านอู๋อีกหนึ่งพันตำลึง ทั้งหมดรวมเป็นเจ็ดพันตำลึงสินะ

เผยเยี่ยนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี

อวี้ถังก็รู้สึกขายขี้หน้าอยู่บ้าง

เหตุเพราะเรื่องนี้นางก็มีเอี่ยวด้วย

นางก้มหน้างุดอย่างอับอาย เอ่ยเสียงเบาหวิวว่า “เจียงเฉาผู้นี้นับว่าเป็นคนไม่เลว พวกเราสองสกุลก็นับว่าฝีมือไล่เลี่ยกัน ต่างไม่คิดร้ายต่อกันอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ประมาทเกินไปหน่อย ข้าคิดว่าหากมีโอกาส เจียงเฉาน่าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง”

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset